เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

test

หัวใจสำคัญของการขับรถ การขับขี่ปลอดภัยคือสิ่งที่ทุกคนคิดถึงมากที่สุด นอกจากการตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอแล้ว ยังมีรูปแบบของสายมู ผ่านบทสวด คาถาเดินทางปลอดภัย ที่นักขับรถทั้งหลายมักจะมองหามาติดประจำรถไว้ หรือไม่ก็ท่องสวดให้ขึ้นใจ ถือเป็นคาถาคลาดแคล้วที่จะช่วยสร้างความปลอดภัย และทำให้คนขับรถที่นับถือพุทธคุณรู้สึกอุ่นใจขึ้นนั่นเอง

1.คาถาแคล้วคลาด ขับรถปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวง

“เมตตัญ จะ สัพพะโล กัสสะมิง มานะ สัมภาวะเย อัปปะริมานัง”

สำหรับคาถาบทนี้ประหนึ่งการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดเส้นทาง เพื่อให้ผลบุญนั้นส่งกลับมายังการขับรถให้ได้รับความคุ้มครอง เดินทางปลอดภัยในทุกเส้นทาง สำหรับการท่องคาถานี้ให้เริ่มจากการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการตั้งนะโม 3 จบก่อนที่จะเริ่มต้นทำการสวดคาถา โดยสวดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการภาวนาให้ตลอดการเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ตลอดทั้งเส้นทางนั่นเอง

2.คาถาเดินทางปลอดภัย สำหรับการขับรถทางไกล

“มะติ ยาเต มะเต ยาติ มาเต ถินา นะนา ถิเต มะนา เนสา มะสา เนนา มะสา จะติ มะติ จะสา มะติยาใน มะโนยาติ มะโนติตัง มะตังติโน มะตังปาลัง มะลังปาตัง มะลังจะติมะติจะลัง”

อีกหนึ่งคาถามหานิยมที่ใช้ในการสวดภาวนาก่อนการเดินทางได้แก่ คาถา มะติ ยาเต ที่เชื่อกันว่าเป็นการบริกรรมคาถาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาจากหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ที่มุ่งเน้นไปยังการออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล ให้ทุกจังหวะการเดินทางให้ได้รับความปลอดภัย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไร้อุปสรรคหรืออุบัติเหตุใด ๆ และประสบผลดีตลอดทั้งเส้นทาง

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

โดยการบริกรรมคาถานี้ให้เริ่มจากบูชาพระพุทธด้วยการตั้งนะโม 3 จบ เช่นเดิม จากนั้นให้ตามด้วยคาถาในข้างต้นจำนวน 1 จบ หรือ อาจมากกว่านั้นแต่ขอให้ลงท้ายเป็นเลขคี่ เพื่อเพิ่มเติมความเป็นสิริมงคล และความปลอดภัยในการขับขี่โดยเฉพาะกับการขับรถทางไกลไปยังต่างบ้านต่างแดนนั่นเอง

3.คาถารอดพ้นอันตราย

“นะรา นะระ หิตัง เทวัง นะระ เทเรหิ ปูชิตัง นะรานัง กะมะปังเกหิ นะมามิ สุคะตังชินัง”

สำหรับการกล่าวคาถานี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับรถไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่คุ้นเคย ดูไม่ปลอดภัย สำหรับการเริ่มต้นกล่าวคาถาสำหรับการปกป้องในครั้งนี้ให้เริ่มต้นจากการตั้ง นะโม 3 จบ จากนั้นให้ทำการสวดคาถาตามอีก 3 จบ เชื่อว่าผลของการสวดมนต์เพื่อขอการป้องกันนี้จะปกปักรักษาตัวคนขับรถให้ห่างไกลจากอันตรายและการปองร้ายทั้งปวงได้

4.คาถาแคล้วคลาดด้วยพุทธคุณเป็นที่ตั้ง

“พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก วันทามิเตสุระนะ รักกะเมสะเม”

สำหรับการท่องคาถาในบทนี้เป็นการพึ่งในพุทธคุณสำหรับการป้องกันจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เป็นคาถาสายเย็นเน้นแผ่ความเมตตาออกไปให้ถ้วนทั่วเพื่อให้ความดี และความเมตตาในรูปแบบของคาถาพระพุทธช่วยปกป้องคุ้มครอง และดลบันดาลความสุข ความสงบให้กับทุกสิ่งตลอดเส้นทาง เริ่มต้นด้วยการตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วยเนื้อหาของคาถาหนึ่งรอบก่อนการเดินทางแต่ละครั้ง ให้ผลพุทธคุณหนุนนำชีวิตไปในทุกเส้นทาง

5.คาถาเดินทางโดยสวัสดิภาพ

“อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี วันนี้ชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี (วันที่เดินทาง หรือกล่าวว่า “วันนี้”) ชัยศรีสวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี พระชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ ( 3 จบ )”

เป็นบทคาถาที่เชื่อมโยงการท่องสวดด้วยบท อิติปิโส ที่เป็นบทอาราธนาที่คนไทยทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีในการเชิดชูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับการเริ่มต้นกิจการอันใดก็ตามให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง

ในบทสวด อิปิติโส นี้ได้ถูกนำมารวมกับคาถาฤกษ์งามยามดีสำหรับการเดินทาง วันนี้เป็นวันแห่งชัย วันแห่งโชค ด้วยพุทธคุณที่ไหลมาอย่างล้นเหลือให้กับชีวิต นับเป็นคาถาใหญ่ที่ให้พรแก่นักขับรถอย่างมากมาย

สำหรับใครหลายคนที่ได้เห็นเนื้อหาของคาถาครั้งแรกอาจมองว่าเป็นคาถาที่ยาวมากเหลือเกิน ยากที่จะจำได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้ใช้คาถานี้ไปนาน ๆ รับรองว่า จะจำได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และสร้างผลบุญให้กับคุณได้อย่างมหาศาล

คาถามหานิยมที่สุดคือความไม่ประมาท

สำหรับคาถาที่สำคัญที่สุดให้ทุกจังหวะการขับรถเป็นไปด้วยความราบรื่น คือคาถาแห่งการตั้งสติและความไม่ประมาทนั่นเอง เชื่อเหลือเกินว่าทุกบทสวดที่มีการคิดค้นขึ้นมานั้น มุ่งหวังไปยังการตั้งสติในการขับรถด้วยความปลอดภัย ไม่ว่อกแว่ก หรือสนใจในสิ่งอื่น รวมไปถึงการทำใจให้สงบไม่เกิดอารมณ์ร้อนแรงฉุนเฉียวที่เป็นต้นเหตุแห่งอุบัติเหตุทั้งปวง

ดังนั้นไม่ว่าจะคาถาอะไรความตั้งตนอยู่บนสติและไม่ประมาท หมายถึงความปลอดภัยสูงสุดที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นการขับรถที่ราบรื่นที่สุด

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr.roojai

5 วิธีสวดมนต์ เรียกทรัพย์ก่อนขับรถ

หัวใจสำคัญของการขับรถ การขับขี่ปลอดภัยคือสิ่งที่ทุกคนคิดถึงมากที่สุด นอกจากการตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอแล้ว ยังมีรูปแบบของสายมู ผ่านบทสวด คาถาเดินทางปลอดภัย ที่นักขับรถทั้งหลายมักจะมองหามาติดประจำรถไว้ หรือไม่ก็ท่องสวดให้ขึ้นใจ ถือเป็นคาถาคลาดแคล้วที่จะช่วยสร้างความปลอดภัย และทำให้คนขับรถที่นับถือพุทธคุณรู้สึกอุ่นใจขึ้นนั่นเอง

1.คาถาแคล้วคลาด ขับรถปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวง

“เมตตัญ จะ สัพพะโล กัสสะมิง มานะ สัมภาวะเย อัปปะริมานัง”

สำหรับคาถาบทนี้ประหนึ่งการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดเส้นทาง เพื่อให้ผลบุญนั้นส่งกลับมายังการขับรถให้ได้รับความคุ้มครอง เดินทางปลอดภัยในทุกเส้นทาง สำหรับการท่องคาถานี้ให้เริ่มจากการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการตั้งนะโม 3 จบก่อนที่จะเริ่มต้นทำการสวดคาถา โดยสวดเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการภาวนาให้ตลอดการเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ตลอดทั้งเส้นทางนั่นเอง

2.คาถาเดินทางปลอดภัย สำหรับการขับรถทางไกล

“มะติ ยาเต มะเต ยาติ มาเต ถินา นะนา ถิเต มะนา เนสา มะสา เนนา มะสา จะติ มะติ จะสา มะติยาใน มะโนยาติ มะโนติตัง มะตังติโน มะตังปาลัง มะลังปาตัง มะลังจะติมะติจะลัง”

อีกหนึ่งคาถามหานิยมที่ใช้ในการสวดภาวนาก่อนการเดินทางได้แก่ คาถา มะติ ยาเต ที่เชื่อกันว่าเป็นการบริกรรมคาถาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาจากหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ที่มุ่งเน้นไปยังการออกเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล ให้ทุกจังหวะการเดินทางให้ได้รับความปลอดภัย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไร้อุปสรรคหรืออุบัติเหตุใด ๆ และประสบผลดีตลอดทั้งเส้นทาง

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

โดยการบริกรรมคาถานี้ให้เริ่มจากบูชาพระพุทธด้วยการตั้งนะโม 3 จบ เช่นเดิม จากนั้นให้ตามด้วยคาถาในข้างต้นจำนวน 1 จบ หรือ อาจมากกว่านั้นแต่ขอให้ลงท้ายเป็นเลขคี่ เพื่อเพิ่มเติมความเป็นสิริมงคล และความปลอดภัยในการขับขี่โดยเฉพาะกับการขับรถทางไกลไปยังต่างบ้านต่างแดนนั่นเอง

3.คาถารอดพ้นอันตราย

“นะรา นะระ หิตัง เทวัง นะระ เทเรหิ ปูชิตัง นะรานัง กะมะปังเกหิ นะมามิ สุคะตังชินัง”

สำหรับการกล่าวคาถานี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการขับรถไปยังพื้นที่ห่างไกล ไม่คุ้นเคย ดูไม่ปลอดภัย สำหรับการเริ่มต้นกล่าวคาถาสำหรับการปกป้องในครั้งนี้ให้เริ่มต้นจากการตั้ง นะโม 3 จบ จากนั้นให้ทำการสวดคาถาตามอีก 3 จบ เชื่อว่าผลของการสวดมนต์เพื่อขอการป้องกันนี้จะปกปักรักษาตัวคนขับรถให้ห่างไกลจากอันตรายและการปองร้ายทั้งปวงได้

4.คาถาแคล้วคลาดด้วยพุทธคุณเป็นที่ตั้ง

“พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก วันทามิเตสุระนะ รักกะเมสะเม”

สำหรับการท่องคาถาในบทนี้เป็นการพึ่งในพุทธคุณสำหรับการป้องกันจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เป็นคาถาสายเย็นเน้นแผ่ความเมตตาออกไปให้ถ้วนทั่วเพื่อให้ความดี และความเมตตาในรูปแบบของคาถาพระพุทธช่วยปกป้องคุ้มครอง และดลบันดาลความสุข ความสงบให้กับทุกสิ่งตลอดเส้นทาง เริ่มต้นด้วยการตั้งนะโม 3 จบ ตามด้วยเนื้อหาของคาถาหนึ่งรอบก่อนการเดินทางแต่ละครั้ง ให้ผลพุทธคุณหนุนนำชีวิตไปในทุกเส้นทาง

5.คาถาเดินทางโดยสวัสดิภาพ

“อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี วันนี้ชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรา ยามดี (วันที่เดินทาง หรือกล่าวว่า “วันนี้”) ชัยศรีสวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ อิติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี พระชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ ( 3 จบ )”

เป็นบทคาถาที่เชื่อมโยงการท่องสวดด้วยบท อิติปิโส ที่เป็นบทอาราธนาที่คนไทยทุกคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีในการเชิดชูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สำหรับการเริ่มต้นกิจการอันใดก็ตามให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง

ในบทสวด อิปิติโส นี้ได้ถูกนำมารวมกับคาถาฤกษ์งามยามดีสำหรับการเดินทาง วันนี้เป็นวันแห่งชัย วันแห่งโชค ด้วยพุทธคุณที่ไหลมาอย่างล้นเหลือให้กับชีวิต นับเป็นคาถาใหญ่ที่ให้พรแก่นักขับรถอย่างมากมาย

สำหรับใครหลายคนที่ได้เห็นเนื้อหาของคาถาครั้งแรกอาจมองว่าเป็นคาถาที่ยาวมากเหลือเกิน ยากที่จะจำได้ทั้งหมด แต่ถ้าได้ใช้คาถานี้ไปนาน ๆ รับรองว่า จะจำได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว และสร้างผลบุญให้กับคุณได้อย่างมหาศาล

คาถามหานิยมที่สุดคือความไม่ประมาท

สำหรับคาถาที่สำคัญที่สุดให้ทุกจังหวะการขับรถเป็นไปด้วยความราบรื่น คือคาถาแห่งการตั้งสติและความไม่ประมาทนั่นเอง เชื่อเหลือเกินว่าทุกบทสวดที่มีการคิดค้นขึ้นมานั้น มุ่งหวังไปยังการตั้งสติในการขับรถด้วยความปลอดภัย ไม่ว่อกแว่ก หรือสนใจในสิ่งอื่น รวมไปถึงการทำใจให้สงบไม่เกิดอารมณ์ร้อนแรงฉุนเฉียวที่เป็นต้นเหตุแห่งอุบัติเหตุทั้งปวง

ดังนั้นไม่ว่าจะคาถาอะไรความตั้งตนอยู่บนสติและไม่ประมาท หมายถึงความปลอดภัยสูงสุดที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นการขับรถที่ราบรื่นที่สุด

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr.roojai

พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน ?

พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยว่าที่จริงแล้วควรจะนำ พระ ตั้ง หน้า รถ วางอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยกัน

การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่อยู่คู่กับชาวพุทธมาอย่างยาวนาน โดยถือว่าเป็นการไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล เช่น การยกมือไหว้พระพุทธรูป การพกเครื่องรางของขลังติดตัว หรือการ บูชาพระตั้งหน้ารถ แล้วยกมือไหว้ก่อนออกเดินทางเพื่อหวังให้ช่วยปกปักคุ้มครองในระหว่างการเดินทางให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย แต่หลายคนรู้หรือไม่ว่าการนำ พระตั้งหน้ารถ ควรหันหน้าพระไปทิศทางไหน วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยว่าที่จริงแล้วควรจะนำ พระ ตั้ง หน้า รถ วางอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยกัน

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

การวางพระหน้ารถควรหันไปทางไหน

ตามหลักฮวงจุ้ยแล้วการวางพระหน้ารถ หรือ พระ ใน รถ อย่างถูกต้อง ควรหันหน้าของพระออกไปทางหน้ารถทิศทางเดียวกันกับผู้ขับขี่ โดยตามความเชื่อแล้วจะเป็นการเสริมดวงให้กับเจ้าของรถ เพราะพระที่หันหน้าไปในทิศทางเดียวกันจะเปรียบเสมือนการปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นกับตัวรถและผู้ขับขี่ได้ทุกเมื่อ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยแล้วหากหันหน้าพระเข้ามาภายในรถจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนภายในครอบครัวได้

ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อในหลักของฮวงจุ้ยแล้ว การวางพระหน้ารถแล้วหันหน้าพระเข้ามาภายในรถก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะบางคนอาจทำแบบนี้แล้วเกิดความสบายใจ มีความตื่นตัวและมีสติตลอดการขับขี่ ซึ่งสามารถมองได้อีกมุมหนึ่งว่าการหันหน้าของพระเข้ามาภายในรถเป็นเครื่องเตือนใจตอนขับรถ เพราะว่าได้มองเห็นหน้าพระตลอดเวลาที่สร้างความอุ่นใจให้กับผู้ขับขี่ หรืออีกหนึ่งความเชื่อคือการไหว้พระเราก็ควรที่จะไหว้ต่อหน้าให้ท่านได้เห็น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่บางคนนิยมวางพระแล้วหันหน้าพระเข้ามายังตัวรถนั่นเอง

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. khaorot

3 สิ่งความเชื่อของคนไทย ที่ไม่ควรนำขึ้นรถเด็ดขาด

เคยสังเกตไหม ว่าเมื่อมีสิ่งของต่างๆ ที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับตัวผู้ใช้รถอย่าง พระพุทธรูป ผ้ายันต์เสริมสิริมงคล และของมงคลต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ให้พกพา แต่เชื่อไหมว่ายังมีสิ่งของต้องห้าม ไม่ควรนำขึ้นรถ หรือการกำจัดสิ่งของเหล่านี้ออกไปได้ยิ่งดี เพราะอาจจะส่งผลให้ไม่ดีต่อตัวเจ้าของชะตาผู้ขับขี่รถยนต์เช็กกันเลย ว่าคุณมีของเหล่านี้ไหม?

1. เหรียญ

การเก็บเหรียญที่ตกที่พื้นรถ(ถ้ามี)การที่เศษเหรียญกระจัดกระจาย แปลว่าเจ้าของรถจะเก็บเงินไม่อยู่

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

2. พวงมาลัยแห้ง

หลายคนซื้อพวงมาลัยมาบูชา แต่ก็ชอบปล่อยทิ้งในรถจนเหี่ยวเฉา ทำให้สิ่งที่ควรจะเป็น วัตถุมงคลกลายเป็นของอัปมงคลทั้งในเรื่องของฝุ่น และความสกปรก

3. นาฬิกาตาย

เปรียบได้กับการหมดอายุขัยของคน หากนำติดตัวขึ้นรถหรือวางไว้ทิ้งไว้ในรถ จะกลายเป็นของอัปมงคลที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และ ไทยรัฐออนไลน์ อยากให้ทุกคนตั้งสติก่อนสตาร์ต มีสมาธิทุกครั้งหลังนั่งพวงมาลัย ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้น.

สนใจอ่านสาระเพิ่มเติม https://lin.ee/keuSb8w

Cr. thairath

6 ความเชื่อเกี่ยวกับรถมีไว้อุ่นใจเหมือนซื้อประกันภัยรถยนต์

เพราะคนไทยกับความเชื่อนั้นเป็นของคู่กันมาตั้งแต่ช้านาน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การทานอาหาร การทำงาน ที่อยู่อาศัย ไปจนถึง ความเชื่อเกี่ยวกับรถยนต์ ก็มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตคนไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่าสิ่งนั้นจะช่วยนำพาให้ชีวิตดีขึ้น มีโชคลาภ เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย วันนี้ masii เลยได้รวบรวม 6 ความเชื่อเกี่ยวกับรถ ที่หลายคนเชื่อถือและมีไว้เพื่อความอุ่นใจ เหมือนกับการซื้อประกันภัยรถยนต์ยังไงอย่างงั้น ว่าแล้วไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! 6 ความเชื่อเกี่ยวกับรถ มีไว้อุ่นใจ เหมือนซื้อประกันภัยรถยนต์

1. สีรถถูกโฉลก

ความเชื่อแรกที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อกันนั่นก็คือ การเลือกสีรถถูกโฉลก โดยมีความเชื่อว่าหากเลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง หรือสีรถถูกโฉลกกับวันเดือนปีเกิดของตัวเองแล้วนั้น จะช่วยส่งเสริมพลังงานที่ดีเข้ามาในชีวิต เช่น โชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังช่วยเสริมดวงชะตาเจ้าของรถอีกด้วย แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีสีถูกโฉลก ก็มักจะติดสติ๊กเกอร์ที่มีประโยคบอกสีมาแก้เคล็ดแทน เช่น รถคันนี้สีขาว รถคันนี้สีชมพู เป็นต้น

2. ป้ายทะเบียนรถยนต์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนี้ ศาสตร์ของตัวเลขนั้นมีบทบาทต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น เลขเบอร์โทรศัพท์ เลขที่บ้าน รวมไปถึง ป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่หลายคนนิยมเลขทะเบียนรถมงคล โดยใช้วิธีการคำนวณผลรวมของตัวเลขทั้งหมดให้ออกมาเป็นเลขมงคล หรือเป็นเลขที่มีความหมายในทิศทางที่ดี มีสิริมงคล และส่งผลดีต่อชะตาชีวิตของเจ้าของรถนั่นเอง

3.ฤกษ์ออกรถ

นอกจากความเชื่อที่เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์แล้ว ฤกษ์ออกรถก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่มีความสำคัญมาก โดยเชื่อกันว่าหากเลือกวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ในการขับรถออกจากโชว์รูม ก็จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล มีโชคลาภ เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย

4. การเจิมรถ

หลายคนนิยมนำรถยนต์ไปเจิม ไม่ว่าจะเป็นการเจิมรถจากเกจิอาจารย์ชื่อดัง หรือพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ ไปจนถึงการเจิมรถจากบุพการี ญาติผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมให้พระเป็นผู้เจิมรถให้ เพราะเชื่อกันว่าหากให้พระสงฆ์ทำพิธีเจิมรถ จะเป็นเหมือนการให้พร ช่วยนำพาให้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา มีโชคมีลาภ ขับรถแคล้วคลาดปลอดภัย ไร้อุปสรรคและภยันตรายต่างๆ

5. บูชาพระหน้ารถ

นอกจากนี้คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธหลายคน ยังมีความเชื่อเรื่องการบูชาพระหน้ารถ รวมถึงเครื่องรางของขลังต่างๆ โดยเชื่อว่าคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะคอยคุ้มครอง ปกปักรักษาให้ผู้ขับขี่ปลอดภัยจากอันตราย ช่วยสร้างความเชื่อมั่นขณะขับรถ โดยพระหน้ารถที่คนนิยมบูชา ได้แก่ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงพ่อโสธร ครูบาศรีวิชัย เป็นต้น

6. การซื้อประกันภัยรถยนต์ 

นอกจากเรื่องความเชื่อในเรื่องของศาสตร์ต่างๆ และการมูเตลูแล้ว อีกหนึ่งความเชื่อที่หลายคนนิยมมีไว้เพื่อความอุ่นใจ นั่นก็คือ การซื้อประกันภัยรถยนต์ นั้นเองค่ะ เพราะว่าประกันรถยนต์นั้นสามารถดูแลและให้ความคุ้มครองเราได้ ทั้งในกรณีที่รถยนต์เกิดอุบัติเหตุจนทำให้รถยนต์เสียหาย ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ รวมถึงกรณีรถหาย ไฟไหม้รถ และน้ำท่วมรถ ก็ยังได้รับความคุ้มครอง เป็นต้น ซึ่งหากสนใจซื้อประกันภัยรถยนต์ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และ ซื้อประกันภัยรถยนต์ กับเว็บไซต์มาสิได้ง่ายๆ

5 ความเชื่อควรทำหลังออกรถใหม่เพื่อความสบายใจในการขับขี่

5 ความเชื่อ ควรทำหลัง ออกรถใหม่ ตามความเชื่อของ ศาสนาพุทธ ของคนไทย จะมีวิธีอย่างไรและมีขั้นตอนแบบไหนบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

5 ความเชื่อ ควรทำหลัง ออกรถใหม่ ความเชื่อเรียกว่าอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน ยิ่งตาม ศาสนาพุทธ ของเราด้วยเเล้ว หลายท่านยอมมี ความเชื่อ หลายศาสตร์ด้วยกัน ในการ ออกรถใหม่ ก็เช่นเดียวกัน เพราะว่า รถยนต์ เป็นยานพาหนะที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่บนท้องถนน 

ออกรถใหม่ ทำไมต้องเตรียม ดอกไม้ ธูปเทียน 

ประกันภัยรถยนต์ บริษัทไหนดี ? เลือกที่ใช่ อุ่นใจหายห่วง

หากคุณกำลังมีคำถามในใจว่า ประกันภัยรถยนต์ บริษัทไหนดี ? วันนี้เราได้รวบรวม 10 บริษัทประกันภัยยอดนิยมที่จะช่วยเพิ่มความอุ่นใจ และคุ้มครองรถของเราเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนนมาแนะนำให้ได้รู้จักกัน

รถยนต์ ถือเป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เพราะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ แน่นอนเมื่อมีความต้องการสูง จำนวนรถที่อยู่บนท้องถนนรวมถึงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ธุรกิจประกันภัยรถยนต์เข้ามามีบทบาทสำคัญกับผู้ใช้รถมากขึ้นด้วยนั่นเอง

ประกันภัยรถยนต์ คืออะไร 

การประกันภัยรถยนต์ จัดเป็นการประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายอันเกิดจากการใช้รถยนต์ ซึ่งประกอบไปด้วย ความเสียหายที่เกิดแก่รถยนต์ และความเสียหายที่รถยนต์ได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก รวมทั้งบุคคลที่โดยสารอยู่ในรถยนต์นั้น โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • การประกันภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. ที่ทางภาครัฐบังคับให้รถทุกคัน ทุกประเภท ต้องทำเพื่อคุ้มครองตัวบุคคล
  • การประกันภาคสมัครใจ คือ การทำประกันที่เกิดขึ้นตามความสมัครใจของเจ้าของรถ ซึ่งก็คือแบบประกันที่เจ้าของรถเป็นผู้เลือกซื้อเพิ่ม นอกเหนือจากประกันภาคบังคับนั่นเอง โดยส่วนมากประกันภาคสมัครใจจะให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งรถและผู้ประสบเหตุมากกว่าภาคบังคับ มีวงเงินคุ้มครองและสิทธิพิเศษอื่น ๆ มากกว่า แต่ก็มีค่าใช้จ่ายมากกว่าภาคบังคับด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ประกันภัยรถยนต์ มีกี่ประเภท

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ดียังไง

ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมในทุกกรณี และมากกว่าการประกันรถยนต์ประเภทอื่น ๆ โดยจะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกัน ผู้โดยสาร รวมถึงบุคคลภายนอก อีกทั้งยังคุ้มครองกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ใช้รถทุกประเภท แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าเบี้ยประกันที่สูงตามมา โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้

ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอก

  • ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ของบุคคลภายนอก (คู่กรณี)
  • ความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก

ความคุ้มครองต่อผู้เอาประกัน

  • คุ้มครองกรณีรถยนต์หาย ไฟไหม้รถ น้ำท่วมรถ
  • คุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุเองโดยไม่มีคู่กรณี หรือไม่ได้เกิดการชนกับยานพาหนะทางบก เช่น ชนเสาไฟฟ้า ชนกำแพง ชนกระถางต้นไม้ เป็นต้น

ความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่น ๆ

  • ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
  • ค่าชดเชยอุบัติเหตุส่วนบุคคลสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก
  • เงินค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา

ประกันภัยรถยนต์ บริษัทไหนดี

ผู้มีรถทั้งมือใหม่หัดขับและผู้ที่ใช้รถมายาวนาน ในทุกปีหลายท่านอาจมีคำถามในหัวว่า “จะเลือกต่อประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี” เพราะในประเทศไทยนั้นมีอยู่มากมาย ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีความคุ้มครองและเงื่อนไขที่ใกล้เคียงกัน วันนี้เราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันภัยรถยนต์มาแนะนำ เพื่อใช้เป็นข้อมูลนำไปประกอบการตัดสินใจได้

1.วิริยะประกันภัย

เริ่มกันที่ วิริยะประกันภัย จัดว่าป็นบริษัทที่อยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ สำหรับคนที่คิดทำประกันรถยนต์ เพราะด้วยกิจการที่อยู่ในเมืองไทยมานานกว่า 70 ปี จนทำให้ได้รับความนิยมและเชื่อถือ มีจุดเด่นในด้านการบริการที่มีความรวดเร็ว ตรงกับความต้องการของลูกค้า อีกทั้งยังมีสาขาที่มากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงศูนย์ซ่อมและอู่ซ่อมในเครือที่มากกว่า 600 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดในประเทศไทย

2.เมืองไทยประกันภัย

เป็นอีกหนึ่งบริษัทประกันภัยที่มีจุดเด่นในเรื่องของเบี้ยประกันที่ค่อนข้างถูก มาพร้อมการบริการที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเคลม นอกจากนั้นยังมีแผนประกันรถยนต์ให้เลือกตามความต้องการอย่างครอบคลุมมากถึง 10 แผน คุ้มครองครบทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความเสียหายต่อตัวรถ แม้จะเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี รวมไปถึงการคุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ กับเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 1,900 บาท

3.สินมั่นคงประกันภัย

บริษัทประกันภัยที่ให้บริการด้านประกันภัยรถยนต์ และประกันวินาศภัย ที่ดำเนินกิจการมากว่า 70 ปี ในประเทศไทย จุดเด่นของสินมั่นคงประกันภัย จะอยู่ที่ความหลากหลายของแผนประกันภัยที่มีให้เลือกมากมาย อีกทั้งยังพัฒนาระบบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่รองรับการทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ประกันเคลมง่าย เคลมเร็ว มาพร้อมกับราคาเบี้ยประกันไม่แพง นอกจากนี้ยังมีบริการฉุกเฉินไม่ว่าจะต้องการรถลาก ยางแตก หรือน้ำมันหมด เรียกได้ตลอด 24 ชม.

4.กรุงเทพประกันภัย

กรุงเทพประกันภัย เป็นบริษัทที่เปิดมายาวนานกว่า 70 ปี และได้รับความนิยมเป็นเบอร์ต้น ๆ ทั้งในเรื่องประกันรถยนต์ และประกันภัยด้านอื่น ๆ โดดเด่นในเรื่องการบริการ ไม่มีปัญหาเรื่องการเคลม เคลมง่าย เคลมไว และล่าสุดได้มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ที่มีแอปพลิเคชันเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในการแจ้งเคลมประกัน มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ตลอด 24 ชม. และบริการด้านงานซ่อม Quick Repair บริการซ่อมสีด่วนอย่างมีคุณภาพภายใน 5 ชม.

5.ธนชาตประกันภัย

ธนชาตประกันภัย เป็นบริษัทประกันภัยที่ก่อตั้งมาเมื่อปี 2540 แต่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับ และเป็นที่รู้จักของผู้คนในเรื่องการประกันภัย ตัวบริษัทจะมีความโดดเด่นในเรื่องความมั่นคงและมีชื่อเสียงด้านการเงิน เจ้าหน้าที่ติดต่อง่าย รวดเร็ว เคลมเร็ว อู่ซ่อมไว ได้คุณภาพแท้ และที่สำคัญค่าเบี้ยประกันถูก รวมทั้งมีอู่ซ่อมในเครือมากกว่า 1,200 อู่

6.ทิพยประกันภัย

ทิพยประกันภัย ดำเนินการด้านธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยมายาวนานกว่า 60 ปี โดดเด่นในด้านบริการ ติดต่อง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเคลม มีอู่ซ่อมและศูนย์ในเครือมากมายทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีประกันให้เลือกหลากหลาย อย่างแผนประกันภัยรถยนต์เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นที่นิยมของสาว ๆ ก็จะเป็นประกันรถสำหรับผู้หญิง (Tip Lady) ที่จะดูแล คุ้มครอง และให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่เป็นผู้หญิงได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีบริการซื้อประกันออนไลน์พร้อมต่ออายุประกันภัย โดยการกรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์ และมีบริการแจ้งอุบัติเหตุ เคลมประกันรถยนต์ออนไลน์ได้ตลอด 24 ชม.

7.ไทยวิวัฒน์ประกันภัย

ไทยวิวัฒน์ประกันภัย อีกหนึ่งประกันภัยที่มีจุดเด่นที่มีอู่อยู่ในเครือเป็นจำนวนมาก บริการหลังการขายที่ดี เคลมง่าย เคลมไว มีบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียฉุกเฉิน 24 ชม. นอกจากนั้นยังมีรูปแบบของประกันรถยนต์ที่มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประกันชั้น 1 ที่มีเบี้ยประกันต่ำ แต่เงินทุนประกันสูง และที่คุ้นหูก็คือ ประกันภัยแบบเปิด-ปิด ที่สามารถเปิดใช้เมื่อใช้งานรถยนต์ และปิดไว้เมื่อไม่ได้ใช้รถ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย จึงเป็นที่นิยมสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้รถแต่ต้องการจะให้มีประกันตลอดเผื่อเวลาฉุกเฉิน

8.แอลเอ็มจีประกันภัย

แอลเอ็มจีประกันภัย เป็นบริษัทประกันภัยที่มีประสบการณ์กว่า 100 ปี ตั้งอยู่ใน 15 ประเทศทั่วโลก โดยในประเทศไทยนั้น แอลเอ็มจีประกันภัย มีชื่อเดิมว่า นารายณ์สากลประกันภัย จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอย่างเป็นทางการในปี 2518 ก่อนจะรวบกิจการเป็นหนึ่งเดียวกับบริษัท คุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในด้านการประกันภัยรถยนต์นั้นเด่นในด้านบริการ ค่าเบี้ยประกันเริ่มต้นถูก เมื่อเทียบกับในหลาย ๆ บริษัท นอกจากนี้ยังมีศูนย์และอู่ซ่อมที่มากกว่า 700 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีบริการฉุกเฉินเรียกได้ตลอด 24 ชม.

9.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย เป็นบริษัทประกันที่ทำธุรกิจในเมืองไทยมายาวนานกว่า 70 ปี มีความมั่นคงและมีชื่อเสียงด้านการเงิน ในส่วนประกันภัยรถยนต์มีทั้งแบบชั้น 1, 2+, 3+ และ 3 สามารถเลือกซ่อมได้ทั้งศูนย์หรืออู่ในเครือ มีเจ้าหน้าที่แนะนำทุกขั้นตอน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เคลมไว และบริการที่รวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีอู่ และศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐานมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ

10.คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย

คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย เป็นบริษัทประกันภัยของประเทศญี่ปุ่น มีผลิตภัณต์ประกันภัยให้เลือกใช้บริการหลากหลาย อาทิ ประกันภัยรถยนต์, ประกันภัยสินค้าทางทะเลและขนส่ง, ประกันภัยวิศวกรรม หรือประกันภัยส่วนบุคคล เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์มีจุดเด่นในด้านเบี้ยประกันที่ไม่แพง มาพร้อมการบริการรวดเร็ว เคลมไว มีบริการซ่อมอู่มาตรฐานที่ได้อะไหล่แท้ และมีบริการเคลมสินไหมทดแทนที่เรียบง่ายผ่านช่องทางออนไลน์

หลังจากได้รู้จักบริษัทประกันรถยนต์ในประเทศไทยที่น่าสนใจกันไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดนอกเหนือจากการเลือกทำประกันที่เหมาะกับคุณ นั่นก็คือการมีสติในการขับขี่ตลอดเวลา และขับรถให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็จะสามารถช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก : oic.or.thviriyah.co.thmuangthaiinsurance.comsmk.co.thbangkokinsurance.comthanachartinsurance.co.th, tipinsure.comthaivivat.co.thlmginsurance.co.thgi.azay.co.thtokiomarine.com

แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view248841.html

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย ทำอย่างไร ต้องสอบใหม่หรือเปล่า

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย ต้องอบรมใบขับขี่ สอบใบขับขี่ใหม่หรือไม่ เมื่อไปทำใหม่จะได้ใบขับขี่ตลอดชีพเหมือนเดิมหรือเปล่า ไปหาคำตอบกัน !

ก่อนที่จะขับรถยนต์ หรือรถมอเตอร์ไซค์ สิ่งแรกที่ทุกคนต้องมีก่อนจะออกถนนใหญ่นั่นก็คือ ใบขับขี่ หรือใบอนุญาตขับรถ เอกสารที่กรมการขนส่งทางบกออกให้กับบุคคลหนึ่งเพื่อเป็นหลักฐานว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านการทดสอบสมรรรถภาพร่างกาย ทดสอบความรู้ และผ่านการอบรมเกี่ยวกับกฎหมายจราจร รวมถึงมารยาทการใช้รถใช้ถนนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ใบขับขี่ หรือใบอนุญาตขับรถนั้น ปัจจุบันมีอยู่หลายแบบด้วยกัน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ใบขับขี่ มีกี่ประเภท ? ส่วนใครที่ไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อน เมื่อทำใบขับขี่หรือสอบใบขับขี่ครั้งแรกจะได้รับ ใบขับขี่ส่วนบุคคลชนิดชั่วคราว ซึ่งจะมีอายุการใช้งาน 2 ปี และเมื่อถึงกำหนดการต่ออายุใบขับขี่จะได้รับ ใบขับขี่ส่วนบุคคลชนิด 5 ปี และเมื่อครบกำหนดต่ออายุก็จะได้รับใบขับขี่ส่วนบุคคลชนิด 5 ปี เช่นเดิม แต่ก็มีใบขับขี่ชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องกังวลเรื่องของวันหมดอายุ หรือต้องคอยมาต่ออายุ นั่นก็คือ ใบขับขี่ตลอดชีพ

ใบขับขี่ตลอดชีพ คืออะไร

ใบขับขี่ตลอดชีพ คือ ใบอนุญาตขับรถชนิดหนึ่งที่ไม่มีกำหนดวันหมดอายุ หรือต้องคอยต่ออายุใบขับขี่ใหม่ ซึ่งปัจจุบันใบขับขี่ตลอดชีพถูกยกเลิกการขอใช้งานใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังมีการประกาศพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2546 ยกเลิกการออกใบขับขี่ตลอดชีพ เปลี่ยนมากำหนดอายุใบขับขี่เป็นชนิดบุคคล 5 ปีแทน และทุกครั้งที่หมดอายุต้องมาทดสอบสมรรถภาพร่างกายเพื่อต่ออายุใบขับขี่

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย ทําอย่างไร ?

หากใบขับขี่ตลอดชีพหายสามารถติดต่อขอทำใหม่ได้เลยโดยไม่ต้องไปแจ้งความ เนื่องจากปัจจุบันสามารถเข้าไปเขียนคำร้องขอทำใบขับขี่ใหม่ได้ที่กรมการขนส่งทางบกทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งผู้ที่ทำใบขับขี่ตลอดชีพหายและต้องการขอใบขับขี่ใหม่ ต้องดำเนินการจองคิวเข้ารับบริการผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือทำการจองทางเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก และเดินทางไปยังสำนักงานขนส่งตามวันและเวลาที่เลือกไว้

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย ต้องสอบใหม่หรือไม่ ?

ผู้ที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหากทำหายและต้องการขอใบขับขี่ใหม่ จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้ารับการอบรม ทดสอบร่างกาย สอบข้อเขียน และสอบปฏิบัติ โดยสามารถจองคิวเข้ารับบริการ เขียนคำร้อง และทำบัตรใบใหม่ได้ทันที

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย เมื่อทำใหม่จะได้ใบขับขี่ชนิดไหน ?

หากใบขับขี่ตลอดชีพหาย ชำรุด หรือต้องการเปลี่ยนจากแบบกระดาษเป็นแบบสมาร์ตการ์ด เมื่อติดต่อขอทำใบขับขี่ใหม่ก็จะได้รับใบขับขี่ตลอดชีพเช่นเดิม

ใบขับขี่ตลอดชีพหาย ขอใบใหม่ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ?

เอกสารที่ใช้ขอใบขับขี่ตลอดชีพใหม่กรณีสูญหาย จะใช้เพียงแค่บัตรประจำตัวประชาชนเท่านั้น ไม่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ แต่ถ้าเป็นในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพแบบกระดาษเป็นแบบสมาร์ตการ์ด จะใช้บัตรประจำตัวประชาชนและใบขับขี่ตลอดชีพใบเดิม

อย่างไรก็ตาม ใบขับขี่ไมว่าจะเป็นชนิดไหนก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน ผู้ที่ต้องขับรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือรถชนิดอื่น ๆ ควรทำใบขับขี่ สอบใบขับขี่ให้ถูกต้อง และควรพกติดตัวไว้เสมอ หรือใครกลัวลืมก็สามารถทำใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT QR Licence ได้ง่าย ๆ ตามขั้นตอนที่นี่เลย : ใบขับขี่อิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร มีขั้นตอนและวิธีใช้งานยังไงบ้าง

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก

แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view255912.html

เกียร์ CVT คืออะไร ต่างจากเกียร์อัตโนมัติปกติอย่างไร

เพราะปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นเริ่มเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบ CVT กันมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้หลายคนสงสัยว่าเกียร์ CVT คืออะไร และถ้าหากใครยังไม่ทราบเราจะพาไปทำความรู้จักกับเกียร์ CVT ว่าแตกต่างจากเกียร์อัตโนมัติแบบเดิมมากน้อยแค่ไหน รวมถึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษหรือเปล่า

เกียร์ CVT คืออะไร

เกียร์ CVT หรือ Continuously Variable Transmission คือ เกียร์อัตโนมัติรูปแบบหนึ่งที่มีอัตราทดแปรผันตามความเร็ว และแม้ว่าเกียร์ CVT เพิ่งจะได้รับความนิยมเมื่อไม่นานมานี้ แต่แนวคิดของเกียร์ CVT ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1490 โดย Leonardo DaVinci และมีการจดสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1886 โดยผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์หรูยี่ห้อหนึ่ง ก่อนจะเริ่มได้รับความนิยมในช่วงหลัง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดกลาง

โดยหลักการทำงานของเกียร์ CVT หลัก ๆ จะประกอบด้วย รอก หรือพูลเลย์ (Pulley) 2 ตัว คือ พูลเลย์ขับ (Drive Pulley) ที่ต่อจากเครื่องยนต์ และพูลเลย์ตาม (Driven Pulley) ที่ต่อเข้ากับชุดเพลาขับ โดยมีสายพานโซ่ (Steel Belt) ลักษณะการทำงานคล้ายกับจานโซ่จักรยานทั่วไปที่ไม่มีเกียร์ เพียงแต่แกนพูลเลย์ทั้ง 2 ตัวของระบบ CVT นั้นสามารถขยับถอยเข้า-ออกได้ เพื่อลดหรือเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของวงสายพานแต่ละด้านสำหรับเปลี่ยนแปลงอัตราทดแทนชุดเฟืองเกียร์ในเกียร์อัตโนมัติปกติ

ข้อดีของเกียร์ CVT

เนื่องจากเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ที่ใช้พูลเลย์ 2 ตัว สามารถขยายขนาดศูนย์กลางของแกนซึ่งเชื่อมต่อโดยสายพานโซ่ในการปรับอัตราทดตามความเร็วแทนชุดเฟืองเกียร์ได้อย่างต่อเนื่องแบบไม่สะดุด จึงทำงานได้ราบรื่นไร้รอยต่อ (เนื่องจากไม่ต้องเปลี่ยนชุดเกียร์เป็นช่วง ๆ ตามความเร็วรถ) และสูญเสียกำลังน้อยกว่า ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น

นอกจากนี้ ชุดเกียร์ CVT ยังมีขนาดกะทัดรัดเมื่อเทียบกับเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ เพราะชิ้นส่วนน้อย ทำให้ใช้พื้นที่ในการติดตั้งไม่มาก จึงสามารถออกแบบส่วนของห้องโดยสารให้กว้างขวางขึ้นได้ หรือใช้ติดตั้งในรถขนาดเล็กก็ง่ายขึ้นด้วย

ข้อเสียของเกียร์ CVT

สำหรับเกียร์ CVT ซึ่งมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อย รวมถึงการออกแบบที่เรียบง่ายกว่าระบบเกียร์อัตโนมัติปกติ จึงมีข้อจำกัดในแง่ของการใช้งาน เพราะจุดประสงค์ของเกียร์ CVT ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับการขับขี่อย่างรุนแรงหรือใช้งานหนัก ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นก็ควรขับขี่อย่างนุ่มนวล เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ CVT

ปัญหาเกียร์ CVT ที่พบบ่อย

โดยธรรมชาติของเกียร์ CVT ซึ่งถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่หากใช้งานเต็มที่เหมือนเกียร์อัตโนมัติแบบปกติอาจทำให้เกียร์ CVT เสื่อมสภาพหรือเกิดปัญหาได้เร็วขึ้น ซึ่งอาการที่พบบ่อยของเกียร์ CVT จะมี ดังนี้

1. เกิดความร้อนในระบบเกียร์สูง

เนื่องจากการทำงานของเกียร์ CVT ซึ่งใช้ชุดพูลเลย์ 2 ตัว และสายพานนั้นต้องหมุนอยู่ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องอาศัยระบบหล่อเย็นเพื่อระบายความร้อน หากระบบดังกล่าวมีปัญหาจะทำให้ชุดเกียร์ CVT เกิดความร้อนสูง ซึ่งสังเกตได้จากกลิ่นไหม้ภายในรถ

2. น้ำมันเกียร์รั่วซึม

ระบบเกียร์ CVT ก็เหมือนกับระบบเกียร์ทั่วไป คือยังต้องอาศัยน้ำมันเกียร์ในการหล่อลื่น หากปล่อยให้น้ำมันเกียร์ขาดจะทำให้เกียร์มีปัญหาตามมา เช่น การรั่วซึม ส่งผลให้ระบบเกียร์ตอบสนองช้าลง รวมถึงหากน้ำมันเกียร์มีการปนเปื้อนจะทำให้การทำงานของเกียร์ CVT ไม่ราบรื่น เร่งไม่ขึ้น หรือกระตุก หากรถมีอาการเหล่านี้ควรรีบนำไปตรวจเช็กน้ำมันเกียร์โดยด่วน

3. สูญเสียกำลังและความเร็ว

รถเกียร์ CVT ที่มีปัญหานี้จะมีอาการกระตุกและสั่นเมื่อเดินคันเร่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดความร้อนสูงในระบบ รถจะสูญเสียกำลังลงไปอย่างเห็นได้ชัด

4. ความทนทาน

หากเทียบกับเกียร์อัตโนมัติแบบปกติ เกียร์ CVT ซึ่งมีชิ้นส่วนน้อยและต้องทำงานตลอดเวลา จึงมีความทนทานน้อยหรืออายุการใช้งานสั้นกว่าตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ได้พัฒนาให้เกียร์ CVT มีความทนทานขึ้นจากเดิมมากจนไม่ต้องกังวลนัก เพียงแต่อาจต้องปรับพฤติกรรมการขับขี่ให้เข้ากับรูปแบบเกียร์ที่ใช้เท่านั้น

เพราะเกียร์แต่ละประเภทย่อมมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งเกียร์ CVT ก็ให้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น การขับขี่ที่นุ่มนวล ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง โดยสูญเสียกำลังน้อย ประหยัดน้ำมัน แต่ผู้ใช้งานก็ต้องทำความเข้าใจและใช้งานอย่างระมัดระวัง ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ CVT ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : caranddriver.comrxmechanic.commotorbiscuit.com
แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view256019.html

5สิ่งของที่ไม่ควรมีติดรถ

ของต้องห้ามในรถไม่ควรมี ความเชื่อสายมู ส่งผลไม่ดีต่อผู้ขับขี่

เคยสังเกตไหม ว่าเมื่อมีสิ่งของต่างๆ ที่ช่วยเสริมสิริมงคลให้กับตัวผู้ใช้รถอย่าง พระพุทธรูป ผ้ายันต์เสริมสิริมงคล และของมงคลต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ให้พกพา แต่เชื่อไหมว่ายังมีสิ่งของต้องห้าม ไม่ควรนำขึ้นรถ หรือการกำจัดสิ่งของเหล่านี้ออกไปได้ยิ่งดี เพราะอาจจะส่งผลให้ไม่ดีต่อตัวเจ้าของชะตาผู้ขับขี่รถยนต์เช็กกันเลย ว่าคุณมีของเหล่านี้ไหม?

1. เหรียญ

การเก็บเหรียญที่ตกที่พื้นรถ(ถ้ามี)การที่เศษเหรียญกระจัดกระจาย แปลว่าเจ้าของรถจะเก็บเงินไม่อยู่

2.พวงมาลัยแห้ง

หลายคนซื้อพวงมาลัยมาบูชา แต่ก็ชอบปล่อยทิ้งในรถจนเหี่ยวเฉา ทำให้สิ่งที่ควรจะเป็น วัตถุมงคลกลายเป็นของอัปมงคลทั้งในเรื่องของฝุ่น และความสกปรก

3.นาฬิกาตาย

เปรียบได้กับการหมดอายุขัยของคน หากนำติดตัวขึ้นรถหรือวางไว้ทิ้งไว้ในรถ จะกลายเป็นของอัปมงคลที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

4.ของใช้คนเสียชีวิตมีความเชื่อว่าจะคุ้มครอง

หลายคนอยากเก็บสิ่งของเครื่องใช้คนใกล้ชิดที่เสียชีวิตแล้ว ไว้ดูต่างหน้าหรือเพื่อคุ้มครองตนเอง และให้เป็นความสบายใจของผู้ขับขี่ แต่เชื่อไหมว่า หลายคนที่รู้สึกไม่ดีร้อนรุ่มมาแล้วจากสิ่งของพวกนี้ ดังนั้นไม่ควรเก็บของเหล่านี้ไว้ที่รถควรจะเก็บของดูต่างหน้าไว้ในที่ที่ร่มเย็น เช่นห้องพระ นั่นเอง

5.กระจกแตกร้าว

อาจหมายถึงความสัมพันธ์ที่ร้านฉาน หากพบว่ากระจกมีรอยร้าวที่เห็นชัด ควรจะรีบซ่อมแซม เพราะความเชื่อ เชื่อว่า จะทำให้คนที่อยู่บนรถทะเลาะ มีปากเสียงกัน อาจจะนำมาซึ่งอุบัติเหตุได้

อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และ ไทยรัฐออนไลน์ อยากให้ทุกคนตั้งสติก่อนสตาร์ต มีสมาธิทุกครั้งหลังนั่งพวงมาลัย ความปลอดภัยก็จะเกิดขึ้น.

แหล่งอ้างอิง https://www.thairath.co.th/horoscope/belief/2426140  

วิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ ดูตรงไหน จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยน

ยางรถยนต์ เป็นส่วนประกอบสำคัญของ รถยนต์ ที่จะต้องสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลา ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและใช้ในการขับเคลื่อนให้ตัวรถให้วิ่งไปได้อย่างนิ่มนวลและปลอดภัย ดังนั้นเราควรใส่ใจและดูแลอยู่เสมอ ซึ่งโดยปกติแล้ว ยางรถยนต์ไม่ได้หมดอายุเพียงแค่ดูวันที่ตามระยะเวลาการใช้งาน แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่เป็นปัจจัยทำให้ยางรถยนต์หมดอายุ โดยเรามีวิธีเช็กและจุดสังเกตง่าย ๆ มาแนะนำ ดังนี้

  • ดูที่สะพานยาง ให้สังเกตส่วนที่เป็นเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดอกยาง ซึ่งสิ่งนั้นเรียกว่า สะพานยาง หรือ Tire Tread Wear Indicator คือ ปุ่มในร่องดอกยางบนหน้ายางรถยนต์ เพื่อวัดความสูงของดอกยาง ถ้าดอกยางสึกจนอยู่ในระดับเดียวกับสะพานยาง แสดงว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะยางเส้นนั้นถูกใช้งานจนสึก จนไม่อาจสามารถทำหน้าที่ในการรีดน้ำได้ดีเหมือนกับยางเส้นใหม่ที่มีดอกยาวหนากว่า โดยผู้ใช้รถจะต้องตรวจเช็กสะพานยางทุก ๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กิโลเมตร
  • สภาพดอกยาง อย่างที่ทราบกันว่า ดอกยางรถยนต์มีคุณสมบัติในการช่วยรีดน้ำเวลาที่เราต้องขับรถบนถนนที่เปียกหรือมีน้ำขัง เพื่อช่วยให้ผิวหน้าของยางรถยนต์ยังเกาะถนนได้ปกติ แต่หากดอกยางเหลือน้อยก็มีโอกาสสูงที่รถจะเสียหลักลื่นไถลได้ โดยปกติดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ถ้าดอกยางเหลือไม่ถึง 3 มิลลิเมตรแล้ว ควรรีบเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที หรือสังเกตุด้วยตาเปล่า โดยนำไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยาง ถ้าเห็นหัวไม้ขีด แสดงว่าดอกยางบาง และเหลือน้อย เกินกว่าจะใช้งานได้
  • เช็กความแข็งกระด้าง-รอยแตกลายงา ผิวยางรถยนต์ใหม่ ๆ จะมีความเงาและความนิ่มระดับหนึ่ง แต่เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ ผิวยางจะเริ่มแข็งกระด้าง ไปจนถึงปรากฏรอยแตกลายงา ซึ่งจะส่งผลต่อความทนทานของแก้มยาง และการเกาะถนนเป็นอย่างมาก ซึ่งควรให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสภาพของยาง เพื่อประเมินว่าควรเปลี่ยนเลยหรือไม่
  • ดูตำแหน่งรั่วของยาง หากเกิดยางรั่วและต้องปะยางรถยนต์ ควรทำกับยางที่มีรอยรั่วเล็ก ๆ และต้องอยู่บนหน้ายางเท่านั้น โดยตำแหน่งการรั่วของยางต้องไม่กระทบกับโครงสร้างยางภายใน หรือไม่ควรปะยางบริเวณแก้มหรือขอบยาง เพราะวัสดุที่นำมาใช้ปะยางนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถยึดเหนี่ยวได้ หากใช้ยางต่อไป อาจเกิดยางระเบิด หรือยางแตกได้ในที่สุด ดังนั้นถ้าเกิดรั่วหรือแตกในบริเวณดังกล่างให้เปลี่ยนยางเส้นใหม่จะดีที่สุด
  • ยางบวม ถ้ามีอาการยางบวม หรือปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ โดยอาการยางบวมนั้นมักมาจากการขับรถเสียดสีอย่างรุนแรง อาจเป็นการชนขอบทางเท้า หรือขับรถตกหลุม หรือยางที่ใช้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากขับรถไปทั้งที่ยางบวม ก็อาจเกิดอันตราย ยางระเบิด หรือยางแตกกลางทางได้ หรือหากแตะเนื้อยางแล้วพบว่ายางแข็ง คือจิกเล็บลงไปไม่เห็นรอย แสดงว่าหน้ายางหมดอายุ ก็ต้องรีบเปลี่ยนยางใหม่เช่นกัน
  • ดูตัวเลขที่บริเวณแก้มยาง อีกหนึ่งวิธีในการตรวจสอบการเสื่อมสภาพของยางก็คือการเช็กอายุของยางจากรหัส 4 ตัวบนแก้มยาง โดยจะระบุเป็น WW/YY หมายถึงสัปดาห์และปีที่ผลิต เช่น 0720 หมายถึงยางที่ผลิตในสัปดาห์ที่ 7 ปี 2020 หรือผลิตในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 ของเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 นั่นเอง (หนึ่งปีจะมี 52 สัปดาห์) ซึ่งการดูเลขรหัสนี้คือตัวกำหนดยางใหม่ และยางเก่าค้างสต็อก โดยปกติอายุขัยของยางใหม่จะเก็บได้นานถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และอุณหภูมิของคลังเก็บยาง ซึ่งจะส่งผลต่อเนื้อยาง

ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยและสัญญาณที่บ่งบอกว่ายางรถยนต์เส้นนั้นเสื่อมสภาพ และหมดอายุ แนะนำควรรีบเปลี่ยนโดยด่วน เพราะถ้ายังฝืนใช้งานต่อไปเรื่อย ๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทั้งกับตัวของคุณเองและเพื่อนร่วมทาง

ขอบคุณข้อมูลจาก : guideautoweb.comauto.howstuffworks.combridgestonetire.com

แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view247142.html

check-credit