เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

Author: admin

ความปลอดภัยในการขับขี่พื้นฐาน

แล้วสรุป เราจอด เติมน้ำมัน ยังต้องดับเครื่องยนต์ นั่งทนร้อน เพื่อให้เด็กปั๊มเสียบหัวจ่ายเพิ่มพลัง ให้กับรถ ของเราหรือไม่

ในขั้นตอนเติมน้ำมันปกติ ที่ปั๊มน้ำมันส่วนใหญ่ จะมีคำเตือนที่หัวจ่าย หรือ หนักงานบริการ จะเตือนคุณว่าให้ดับเครื่องยนต์เสมอ เมื่อต้องเติมน้ำมัน เป็นขั้นตอนปกติที่จะต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบ

ที่จริงแนวทางดับเครื่องก่อนเติมน้ำมัน นั้นมีมานาน ตั้งแต่อดีต รถสมัยก่อน ประตูเติมน้ำมัน จะใช้ดอกกุญแจเดียวกับที่คุณเปิดประตู และ สตาร์ทเครื่องยนต์ นั่นเพื่อให้ผู้ขับขี่ ต้องดับเครื่องยนต์ก่อนการเติมน้ำมัน จนกระทั่งคนบางกลุ่มเริ่มหัวหมอ ในการนำชุดกุญแจสำรอง มาใช้ในการเปิดประตู ถังน้ำมัน

ยิ่งกว่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หันมาใช้ระบบเซ็นทรัลล็อก หรือสลักเปิด ในการควบคุมประตูถังน้ำมัน จากห้องโดยสาร ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจ และการทำแบบนี้ สามารถทำได้ทันที ไม่ต้องดับเครื่องยนต์ จนเป็นการเริ่มปลูกฝัง พฤติกรรมและความเชื่อแบบผิดๆไปโดยไม่รู้ตัว

คนรุ่นใหม่จำนวนมาก รวมถึง มือเก๋าหลายคน เริม่จะไม่ดับเครื่องยนต์ เวลาเติมน้ำมัน ทั้งที่ แนวทางที่ให้ดับเครื่องยนต์ในการะเติมน้ำมัน นั้นมีประโยชน์มากมาย

ประการแรก คือการลดความเสี่ยงในการเกิดไอน้ำมัน ที่อาจจะเป็นต้นตอของการระเบิดได้ ไอน้ำมันในถัง หรือ Vapour จะเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่เด็กปั๊มเปิดฝาถังออก และ จะมีต่อเนื่อง ในระหว่างที่ถังถูกเปิดผนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่เราวิ่งรถมาในระยะทางไกลๆ เจ้าไอน้ำมันนี้ จะเยอะมากเป็นปกติ เนื่องจากมีแรงดันในถังเก็บในรถ และจะเล็ดรอดออกมา ทันที ที่มีการเปิดฝาถังน้ำมัน

ถึงจะฟังไม่อันตราย มันก็แค่ไอน้ำมัน มันจะทำอันตรายอะไรได้ แต่หลักการเดียวกันนี้ ก็ใช้ในการสันดาปปกติในเครื่องยนต์ด้วย เครื่องยนต์เบนซินรุ่นเก่า จะใช้การผสมน้ำมันกับอากาศ ก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และ ใช้หัวเทียนสร้างประกายไฟในการจุดระเบิด เป็นแรงดันลูกสูบ เกิดกำลังเครื่องยนต์ให้เราขับขี่

ฉันใดก็ฉันนั้น หลักการเดียวกัน สามารถเกิดได้ กับโลกภายนอก เมื่อไอน้ำมันออกมาจากถัง ในระหว่างการเติมน้ำมัน การมีสิ่งใดกระตุ้นให้เกิดประกายไฟ ก็สามารถ เปลี่ยนให้การเติมน้ำมัน กลายเป็นหายนะได้ในทันที

ที่จริงในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเมืองหนาว มีความกังวลมากที่สุดว่า ประกายไฟ อาจเกิดได้จากไฟฟ้าสถิต ที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ ตั้งใจ ทั้งจาก การขึ้นลงรถ โดยใช้ร่างกายแตะกับชิ้นส่วนรถ เหมือนที่คุณชอบโดนไฟฟ้าช๊อต ในหน้าหนาว หรืออาจจะมีจากสัญญาณมือถือ กระทั่งชิ้นส่วนที่บกพร่องของเครื่องยนต์เองก็ดี อาจก่อให้เกิดอันตรายได้

ทางเดียวกัน แนวทางดับเครื่องยนต์ก่อนเติมน้ำมัน ก็เพื่อป้องกันความประมาทเลินเล่อในระหว่างขั้นตอนเติมน้ำมัน ของลูกค้า เช่น เผลอไปจอดเกียร์ N เป็นโดน เกียร์ D หรือ R ทำให้ รถเคลื่อนที่ หรือ รถไหล ระหว่างการเติมน้ำมัน เป็นต้น ไปจนถึง ยังป้องกัน การชักดาบของลูกค้าด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ ยังช่วยลดมลภาวะจากปลายท่อไอเสีย ของเครื่องยนต์ ระหว่างการเติมน้ำมัน ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อผู้ปฏิบัติงานของปั๊มน้ำมัน ด้วย

ส่วนตัวเราเองก็ได้ประโยชน์ ตรงที่ จะไม่เสียน้ำมันไปฟรีๆ ในระหว่างที่เติมน้ำมัน ถึงจะนั่งอย่างสบายใจในรถ แต่ความสบายก็แลกกับน้ำมันที่ถูกเติมเพิ่มเข้ามา เนื่องจากเครื่องยนต์ยังซดน้ำมันต่อเนื่อง แม้จะอีกไม่กี่บาทก็ตามเถอะ สำคัญกว่านั้น ยังปลอดภัยต่อตัวคุณเอง และครอบครัวด้วย

ดังนั้น ถ้าถามว่า เติมน้ำมัน ควรดับเครื่องยนต์ หรือไม่

คำตอบ คือ ใช่ครับ คุณควรดับเครื่องยนต์ในระหว่างการเติมน้ำมัน และควรทำให้เป็นนิสัยในการใช้รถด้วย การทำเช่นนี้ ทำให้คุณปลอดภัย จากอันตรายในเรื่องไฟฟ้า สถิตที่อาจจะแจ็คพอท เกิดขึ้นได้ โดยไม่ตั้งใจ นั่นสำคัญกว่าความสบายเพียงไม่กี่นาที ในระหว่างการเติมน้ำมัน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.ridebuster.com/why-stop-engine-refuel-2021/

น้ำยาหม้อน้ำลดลง…มันหายไปไหน?

ใครกำลังประสบปัญหานี้ เพิ่งเติมน้ำยาหม้อไปไม่นาน แต่น้ำลดลงเร็วมาก…มันหายไปไหน? เรื่องปกติ หรือ หม้อน้ำเกิดรอยรั่วตรงไหน ปล่อยทิ้งไว้จะมีปัญหาไหม วันนี้เรามีคำตอบครับ

สาเหตุการหายไปหรือการลดระดับของน้ำยาหม้อน้ำ มีอยู่หลายประเด็น ดังนี้
1) เกิดจากการใช้งาน ที่ระยะเวลายาวนานมาก (เช่น 5 ปีขึ้น) โดยไม่เปลี่ยนถ่ายหรือเติมเพิ่ม
– เพราะตามปกติแล้วน้ำยาหม้อน้ำจะไม่ลดลง เนื่องจากระบบหม้อน้ำสำหรับระบายความร้อนเป็นระบบปิด – แต่อาจเกิดจากการใช้งานที่ยาวนานมากจนเกินไป จนไปตกค้างตามชิ้นส่วนต่างๆ ที่น้ำยาหม้อน้ำไหลผ่าน หรือน้ำที่ใช้ผสมในน้ำยาหม้อน้ำ ระเหยตัวจากความร้อนเป็นบางส่วน

2) เกิดการร่วมซึมจากข้อต่อหรือท่อยางต่างๆ ในระบบ
– เนื่องจากระบบหม้อน้ำ ประกอบด้วยท่อหลายส่วน เช่น ท่อน้ำเข้าระบบฮีทเตอร์ ท่อน้ำเข้าวาล์วน้ำ ท่อน้ำเข้าหม้อน้ำ จึงอาจเกิดการรั่วจากระหว่างข้อต่อกับท่อต่างๆ หรือรั่วที่ปั๊มน้ำ
– ซึ่งหากเกิดการรั่วไหล บริเวณจุดที่กล่าว ข้อดี คือ เรายังสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า จากคราบน้ำยาที่ไหลออกมา หรือน้ำยาที่หกรั่วไหลที่ตามพื้นถนน

3) การรั่วของวัสดุที่ใช้ทำหม้อน้ำ สาเหตุจากการกัดกร่อน
– อาจเกิดจาก น้ำที่ใช้ผสมกับน้ำยาหม้อน้ำเป็นน้ำกระด้าง ไม่สะอาด เช่น น้ำคลองหรือน้ำบาดาล น้ำจากแหล่งธรรมชาติ สิ่งปนเปื้อนที่ติดมากับน้ำเหล่านี้ ก่อให้เกิดสนิม คราบตะกรัน ตะกอนหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ มีผลต่อการกัดกร่อนหม้อน้ำ

4) การรั่วจากอุบัติเหตุในการขับขี่
– เช่น ที่ครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ เกิดโดนหินกระเด็นมาชนจนมีรอยรั่ว ก็เป็นสาเหตุทำให้ระบบระบายความร้อนล้มเหลว เสียหายได้

5) การรั่วภายในเครื่องยนต์
– การรั่วลักษณะนี้ ส่งผลเสียที่ค่อนข้างรุนแรง กล่าวคือ เราไม่สามารถมองเห็นคราบ รอยรั่ว น้ำยาที่รั่วไหล ได้ด้วยตาเปล่า
– แต่น้ำยาหม้อน้ำ เกิดการรั่วไหลเข้าสู่ระบบอื่น เช่น อาจมีน้ำไหลเข้าไปสู่ห้องเผาไหม้ หรือที่อ่างน้ำมันเครื่อง ซึ่งผลที่ตามมาจะร้ายแรงกว่าประเด็นอื่นๆ อาจทำให้เครื่องยนต์พัง เสียหายได้ในที่สุด

ดังนั้น เราควรตรวจสอบระดับน้ำยาหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ต่อครั้ง สำหรับรถเลขไมล์สูงเกินกว่า 200,000 กม. เพราะปริมาณที่ลดลงของน้ำยาหม้อน้ำ อาจส่งผลต่อการระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อความเสียหายของเครื่องยนต์

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.valvoline.co.th/information/tips/202110.php

ใบขับขี่ มีกี่ประเภท ? และการต่อใบขับขี่ในสถานการณ์โควิด

ด้วยสถานการณ์โควิดระบาดต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย โดยใบขับขี่ที่หมดอายุแล้ว ยังสามารถใช้ได้ถึง 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนและสำหรับผู้ต้องการต่ออายุใบขับขี่สามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือนก่อนใบขับขี่หมดอายุ โดยเข้าอบรมออนไลน์ได้ที่ www.dlt-elearning.com และสามารถนำผลผ่านการอบรมออนไลน์ เพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถที่สำนักงานกรมขนส่งที่สะดวก

สำหรับผู้ขับขี่ทุกคน ก่อนที่จะสามารถนำรถมาใช้บนท้องถนน ไม่ว่าจะขับรถชนิดใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะต้องมีและเตรียมให้พร้อมก็คือ ใบอนุญาต

ขับรถหรือใบขับขี่ ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 11 ชนิด ดังนี้
1. ใบอนุญาตขับรถชนิดชั่วคราว อายุ 1 ปี
   – ใบอนุญาตขับรถยนต์ชั่วคราว
   – ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อชั่วคราว
   – ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว
2. ใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล อายุ 5
3. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อส่วนบุคคล อายุ 5
4. ใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ อายุ 3
5. ใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ อายุ 3
6. ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล อายุ 5
7. ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ อายุ 3
8. ใบอนุญาตขับรถบดถนน อายุ 5
9. ใบอนุญาตขับรถแทรกเตอร์ อายุ 5
10. ใบอนุญาตขับรถชนิดอื่นนอกจาก (1) ถึง (9) อายุ 5
11. ใบอนุญาตขับรถตามความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี (ใบอนุญาตขับรถระหว่างประเทศ) อายุ 1

โดยปัจจุบันใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงใบขับขี่แบบชั่วคราว และแบบ 5 ปี ซึ่งมีเอกสารและขั้นตอนในการต่อใบขับขี่ดังนี้

การต่ออายุใบขับขี่ จากชนิดชั่วคราว (2 ปี) เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่ชั่วคราวอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี
   – บัตรประชาชนฉบับจริง
   – ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่ต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่ 
1. ตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ประกอบไปด้วย
   2.1 ทดสอบการมองเห็นสี ที่จำเป็นในการขับรถ
   2.2 ทดสอบสายตาทางลึก
   2.3 ทดสอบสายตาทางกว้าง
   2.4 ทดสอบปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
3. ถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่
4. ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใบขับขี่ 505 บาท


**หมายเหตุ: ผู้ขับขี่สามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วัน หรือ 2 เดือน หากขาดต่ออายุใบขับขี่ กรณีสิ้นอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะต้องสอบข้อเขียนใหม่ หากสิ้นอายุเกิน 3 ปี เพิ่มขั้นตอนการอบรม, ทดสอบข้อเขียน และทดสอบขับรถ

การต่ออายุใบขับขี่ จากชนิดชั่วคราว (2 ปี) เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่ชั่วคราวอายุไม่ต่ำกว่า 1 ปี
   – บัตรประชาชนฉบับจริง
   – ใบรับรองแพทย์แสดงว่าผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวอันอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งมีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่ต้องออกก่อนวันยื่นคำขอไม่เกิน 1 เดือน

การต่ออายุใบขับขี่ชนิด 5 ปี เป็น 5 ปี มีเอกสารที่ต้องใช้ต่อใบขับขี่ปี 2564 ดังนี้ :
   – ใบขับขี่เดิม หรือใบแทน    – บัตรประชาชนฉบับจริง

ขั้นตอนการต่อใบขับขี่
1. ตรวจสอบเอกสาร และออกคำขอ
2. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
   2.1 ทดสอบการมองเห็นสี ที่จำเป็นในการขับรถ
   2.2 ทดสอบสายตาทางลึก
   2.3 ทดสอบสายตาทางกว้าง
   2.4 ทดสอบปฏิกิริยาเท้าในการเหยียบเบรกหลังเห็นไฟสัญญาณ
3. อบรม 1 ชั่วโมง
4. ถ่ายรูปพิมพ์ใบขับขี่
5. ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใบขับขี่ 505 บาท

**หมายเหตุ: ผู้ขับขี่สามารถต่อใบขับขี่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 90 วัน หรือ 3 เดือน หากขาดต่ออายุใบขับขี่ กรณีสิ้นอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี จะต้องสอบข้อเขียนใหม่ หากสิ้นอายุเกิน 3 ปี เพิ่มขั้นตอนการทดสอบข้อเขียน, การสอบขับรถ และใบรับรองแพทย์ที่ขอไว้ไม่เกิน 1 เดือน

อย่างไรก็ตามด้วยสถานการณ์โควิดระบาดต่อเนื่อง กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย ใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว ยังใช้ได้ถึง 30 มิถุนายน 2564 หรือจนกว่าจะมีประกาศเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน

และสำหรับผู้ต้องการต่ออายุใบขับขี่ สามารถต่ออายุได้ล่วงหน้า 6 เดือนก่อนใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ โดยเข้าอบรมออนไลน์ได้ที่www.dlt-elearning.com และสามารถนำผลผ่านการอบรมออนไลน์ติดต่อสำนักงานขนส่งเพื่อเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและออกใบอนุญาตขับรถได้โดยไม่ต้องอบรมที่สำนักงานอีก

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.valvoline.co.th/information/tips/202119.php

เช็คนิสัย จากเลขทะเบียนรถ

เช็คนิสัย จากเลขทะเบียนรถ

ตัวเลขที่อยู่ในชีวิตเราล้วนมีอิทธิพลความเชื่อต่างๆ อยู่เสมอ วันนี้แม่หมอ Smile Insure จะพาทุกคนมาเช็คเลขตัวสุดท้ายของป้ายทะเบียนรถคุณ โดยที่เราจะใช้แค่เลข 1 ตัวเท่านั้น จาก 1 – 9 มาดูกันดีกว่าว่านิสัยคุณตรงตามนี้รึเปล่า? 

อย่างแรกเรามาดูวิธีการคิดกันก่อนดีกว่าค่ะ ตัวอย่างทะเบียนรถ กข 9124 ให้คุณนำตัวเลขทั้งหมดมาบวกกันดังนี้ 9+1+2+4 = 16  แต่ถ้านำมาบวกกันแล้วได้เลขสองหลัก ให้นำทั้งสองหลักนั้นมาบวกกันอีกที จะได้เป็น 1+6 = 7 ค่ะ แต่ถ้าหากได้เป็นเลข 1 หลัก ก็ได้ยึดเลขตามนั้นได้เลย

เลข 1

เลขนี้เป็นเลขที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ นิสัยของคนขับนั้นเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ค่อนข้างใจร้อน ไม่ชอบเป็นผู้ตาม เวลาขับรถจะเป็นคนที่ชอบขับซิ่งและไม่ชอบให้ใครมาขับจี้ ชอบขับบนถนนโล่ง ไฟสว่างที่มองเห็นชัด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ขับรถเลขทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลข 1 ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้บริหาร

เลข 2

เลขทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลข 2 ถ้าผู้ใช้เป็นผู้หญิงจะเป็นอะไรที่ดีมาก แสดงถึงความอ่อนโยนของคนขับ แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะมีนิสัยการขับรถแบบนุ่มนวล อ่อนโยน มีความน่ารักแบบผู้หญิงซ่อนอยู่ แต่อารมณ์จะแปรปรวนง่ายมาก ตัดสินใจช้า ในบางครั้งใจอาจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไร

เลข 3

เลขนี้บ่งบอกเลยว่าคุณเป็นคนใจกล้า ชัดเจน ตัดสินใจเด็ดขาด และใจร้อนมาก กล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะชอบความท้าทาย ถึงจะเป็นสิ่งที่ไม่ชินก็พร้อมเดินหน้าลุยได้ทุกเมื่อ แต่บางทีการที่ตัดสินใจเร็วไป ก็อาจจะทำให้ต้องระวังในเรื่องความปลอดภัยเวลาขับรถมากขึ้น

เลข 4

นิสัยของคนที่เลขทะเบียนลงท้ายด้วยเลข 4 บ่งบอกเลยว่าคนๆ นี้มีการเดินทางบ่อยทั้งใกล้ และไกลเพื่อเจรจาในเรื่องการทำงาน เพราะเป็นคนที่พูดเก่ง เรียกได้ว่าเป็นคนมีวาทศิลป์ แต่บางครั้งก็อาจจะโลเล และเป็นคนที่มั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ ค่อนข้างยากที่จะเดาทางได้ ไม่มีความแน่นอน สังเกตได้เลยว่ารถของคนเลขนี้มักไม่ค่อยมีระเบียบ หรือเรียกง่ายๆ ว่ารถรกนั่นเอง

เลข 5

เลขนี้แสดงให้เห็นว่าคุณมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวสูง มีความหนักแน่น ใจเย็น สุขุม และเป็นคนเก่งในด้านวิชาการ เมื่อขับรถก็จะขับช้าๆ ชิลๆ คันที่ตามหลังก็อาจจะหงุดหงิดได้บ้าง บางทีก็ชอบให้ทางผู้อื่น แต่คุณเป็นคนที่รักษากฎและมีวินัยจราจรมากๆ เลยล่ะ 

เลข 6

เลข 6 บ่งบอกเลยว่าคุณเป็นคนมีอารมณ์ศิลป์ ชอบฟังเพลง ร้องเพลงบนรถ มีเสน่ห์ที่น่าสนใจ อารมณ์นุ่มนวล งานที่ทำเหมาะจะเป็นเกี่ยวกับด้านงานศิลปะ บันเทิง แต่ในขณะเดียวกันคุณก็เป็นคนที่มีระเบียบ และก็รักรถมาก จะระมัดระวังในการขับตลอดเวลา ไม่ค่อยเจออุบัติเหตุ แต่ขอเตือนเลยว่า อย่าเพลิดเพลินกับการร้องเพลงจนเกิดอุบัติเหตุได้นะ 

เลข 7

คนเลขนี้ค่อนข้างเป็นขาลุย ใช้งานรถหนักเป็นประจำ เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความอดทน มีความละเอียด มักจะวางแผนไว้ก่อนทำอะไรบางอย่างเสมอ และเป็นคนที่หาเงินเก่งมาก แต่บางครั้งก็ต้องระวังเวลาขับรถเพราะคุณชอบวิตกกังวลแอบคิดเรื่องงานตลอด

เลข 8

เลขนี้เป็นคนที่มีไหวพริบดี พลิกแพลงเก่ง และมักแก้ไขสถานการณ์ได้ดี เพราะเป็นคนที่ชอบตัดสินใจเร็ว เวลาชอบอะไรก็จะชอบแค่แปปเดียว คุณเป็นคนที่ชอบการเสี่ยงโชค และมีความกล้าในการลงทุนกับอะไรบางอย่าง  คุณเป็นคนที่ใจกล้าเวลาขับรถ ชอบหาทางลัดเพื่อให้ถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ซอยแคบแค่ไหนก็พร้อมไปหมด

เลข 9

นิสัยของเลข 9 จะเป็นคนที่มีความขยัน คล่องแคล่ว ชอบเดินทางไกล เป็นคนที่ทันสมัย อัพเดทเกี่ยวกับเรื่องปัจจุบันตลอดเวลา ชอบทำธุรกิจติดต่อการงาน การทำงานหนักของคุณจะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก

เป็นยังไงบ้างคะทุกคน ตรงกันบ้างมั้ยเอ่ย แต่ที่สำคัญกว่านั้น การขับรถอย่างมีสติ จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เราได้หายห่วง ยิ่งทำประกันรถยนต์ไว้ก็อุ่นใจกว่าแน่นอน สนใจประกันประเภทไหนปรึกษา Smile Insure ได้เลย ทางเรามีประกันภัยชั้นนำจาก วิริยะ, กรุงเทพ, อาคเนย์, เมืองไทย, คุ้มภัยโตเกียวมารีน, แอลเอ็มจี, ไทยศรี, เอเชีย, สินทรัพย์, ธนชาต ให้คุณได้เลือกตามใจชอบเลยค่า

cr. smileinsure.co.th/blogs/เช็คนิสัย-จากเลขทะเบียนรถ

การดูแล รถมือสอง สีดำ จะต้องทำยังไง

รถสีดำ เป็นรถที่ดูแล้วสวยเข้ม มีเสน่ห์ลึกลับและดูมีพลังในตัว จึงไม่แปลกเลยที่มีคนนิยมใช้รถสีนี้กันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นระดับผู้บริการ หรือผู้นำ เราจะเห็นว่ามีการใช้รถสีดำเยอะมากกว่าสีอื่น แต่อย่างไรก็ตาม รถสีดำ ถือเป็นรถปราบเซียน ! เนื่องจากมันเป็นรถที่เห็นรอยเปื้อนและรอยขูดขีดได้ง่ายมาก ! คนที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลรถ แนะนำให้เลือกรถสีอื่นดีกว่า ! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถมือสอง หากว่าเป็นรถสีดำ ต้องเลือกให้ดีตั้งแต่ตอนซื้อ ดูรอยอะไรต่างๆ ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นปัญหาสะสมภายหลังให้ปวดใจ !!

วิธีการดูแล รถมือสอง สีดำ ให้สวยอยู่ได้นาน

1.       หมั่นล้างทำความสะอาดรถอย่างน้อยๆ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง แม้ว่ารถของเราจะเป็น รถมือสอง แต่การล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกอาทิตย์ช่วยคืนความสดใสให้รถของเราได้ เพราะได้รับการชำระฝุ่นผงและคราบสกปรกที่ติดผิวของรถออกไป การปล่อยทิ้งไว้นานไม่มีการล้าง ทำให้เกิดคราบสกปรกฝังแน่น

2.       ในการล้างทำความสะอาดรถสีดำ เราจะต้องใช้น้ำสะอาดฉีดล้างคราบฝุ่นผงออกให้มากที่สุดก็ที่จะมีการใช้ผ้าเปียกเช็ดถูไปเบาๆ และควรเช็ดไปในทางเดียว

3.       ห้ามใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้าแห้งๆ เช็ดทำความสะอาดรถเด็ดขาด ! อันนี้สำคัญมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถมือหนึ่ง หรือ รถมือสอง เพราะการที่เราใช้ไม้ขนไก่ หรือผ้ามาปัดๆ เช็ดๆ หวังว่าจะเป็นการทำความสะอาดนั้น มันเป็นตัวการทำให้เกิดรอยขีดข่วนขนาดเล็กที่เรียกว่ารอยขนแมว ! ซึ่งมันเห็นได้ชัดมากๆ ในรถสีดำ !!! ที่เป็นเช่นนี้ก็เกิดจาก เวลาที่เราปัด หรือเช็ด เอาฝุ่นผงออก มันเป็นการไปกดให้เม็ดฝุ่นเม็ดทรายขนาดเล็กที่มีความแข็งกว่าชั้นผิวด้านนอกของสีรถ ครูดไปมา ไม่ต่างจากกระดาษทราบเอาลงไปปัด ! ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเล็กๆ ขึ้นได้

4.       ทำการเคลือบสีรถ หากเป็นการใช้แว็กซ์ทั่วไป ก็ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ แต่หากว่าสามารถทำได้ ก็ไปเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิค ที่มั่นใจได้ว่ามีความแข็งและลื่นเคลือบเอาไว้อีกชั้น เป็นการเพิ่มความมั่นใจและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสีรถ

5.       ในกรณีที่ รถมือสอง ของเรามีรอยขีดข่วนมาเยอะ ก็ควรเอาไปทำการขัดสีและทำเคลือบสีเอาไว้ ก็จะทำให้รถสีดำของเราสวยทนสวยนานมีความเงางามอยู่เสมอ

รอยขนแมวจะเห็นได้ชัดเจนถ้าเป็นรถสีดำ

รอยถลอกก็ชัด

cr. www.carszana.com/articel-detail/การดูแล-รถมือสอง-สีดำ-จะต้องทำยังไง/51/en

จอดรถพื้นลาดเอียง เป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่อรถของคุณหรือไม่ ?

ด้วยพื้นที่จอดรถของคนใช้รถเเต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีพื้นที่กว้าง บางคนแคบ หรือบางคนก็ต้องจอดรถบนพื้นที่ไม่เสมอกันหรือพื้นที่เอียงลาดไปด้านใดด้านหนึ่งด้วยความจำเป็นเนื่องจากมีพื้นที่จำกัดไม่สามารถเลี่ยงได้ จึงต้องจอดรถแบบเอียงๆ ทุกวัน คำถามคือ เเล้วถ้าเรา จอดรถบนพื้นเอียงแบบนี้ทุกวันจะส่งผลเสียใดๆ กับรถ ยาง ระบบกันกระแทกของรถหรือไม่

การ จอดรถบนพื้นเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าทางซ้ายหรือขวา แน่นอนว่าน้ำหนักของตัวรถจะต้องเทไปด้านที่ลาดเอียงมากกว่าปกติอยู่เเล้ว หากจอดติดต่อกันเป็นเวลานานย่อมเกิดการสึกหรอต่อ ยาง โช๊ค สปริง ลูกหมาก ได้ง่าย หากจอดทุกๆ ระบบช่วงล่างของรถย่อมต้องมีปัญหามากกว่ารถที่จอดบนพื้นเรียบปกติ ระดัับความเอียงทีจะส่งผลกระทบต่อรถมากที่สุดคือตั้งแต่ 15 องศาขึ้นไปจนถึง 45องศา เมื่อน้ำหนักของตัวรถเทไปในตำแหน่งที่ไม่เท่ากัน ระบบช่วงล่าง เช่น ยางก็ต้องรับน้ำหนักฝั่งที่เอียงมากกว่าปกติ หากจอดเป็นระยะเวลานาน หรือจอดเป็นประจำ ยางข้างที่รับน้ำหนักบ่อยๆ จะมีปัญหาบวมได้ง่ายกว่าข้างที่ไม่ต้องรับน้ำหนัก เเละรถเสื่อมเสียสมดุลย์ ไม่เท่ากัน หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า กินยาง

นอกจากเรื่องยางเเล้วการ จอดรถบนพื้นเอียงเป็นเวลานานจะทำให้รถสูญเสียสมดุลโครงสร้างของรถจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะรถยนต์ที่โครงสร้่างไม่มีคลัชซีจะยิ่งส่งผลต่อตัวรถมีโอกาสที่โครงสร้างรถเสียหาย บิดตัว รถเสียการทรงตัว รถเอียงตามมา

ดังนั้นการ จอดรถบนพื้นเอียงด้านใดด้านหนึ่งไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาย่อมส่งผลเสียต่อรถแต่หากเป็นการจอดแบบชั่วคราวยังไม่ต้องวิตกเรื่องนี้มากนักเพียงแค่อย่าลืมใส่เกียร์ P ยกเบรกมือขึ้น หรือหากเป็นการจอดบนพื้นลาดเอียงหน้าลอย หรือหน้ารถกดลงพื้น ควรหาก้อนหินมาหนุุนที่ล้อด้วย เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของรถในเหตุสุดวิสัย

cr.www.รถนิยม.com/จอดรถพื้นลาดเอียง-เป็นเวลานาน-ส่งผลเสียต่อรถของคุณหรือไม่-สาระน่ารู้เรื่องรถ

อายุการใช้งานของ ยางรถยนต์ ไม่ควรใช้เกิน 2 ปี จริงหรือไม่

ยางรถยนต์ ถือว่าเป็นชิ้นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ หากเราใช้งานไปสักระยะ ยางรถยนต์ ก็จะเริ่มเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ ตามวันและระยะเวลาของการขับขี่ใช้งาน แต่โดยส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่า ยางรถยนต์ มีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของแต่ละบุคคล ซึ่งข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร อายุการใช้งานของยางรถยนต์ไม่ควรเกิน 2 ปี จริงหรือไม่ แล้วถ้าใช้ไปเรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลายคนก็ตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว ยางรถยนต์ มีอายุการใช้งานกี่ปีกันแน่ ซึ่งความเป็นจริงแล้วอายุการใช้งานของยางรถยนต์ เราสามารถสังเกตได้จาก 3 ข้อดังนี้

  • ความลึกของดอกยาง ต้องมีความลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ไม่ควรตำกว่า 3 มิลลิเมตร เพราะดอกยางมีหน้าที่ช่วยรีดน้ำออก เพื่อให้หน้ายางได้สัมผัสกับพื้นถนนได้เป็นอย่างดี
  • ความชำรุดของโครงสร้างยาง เช่น รอยแผลใหญ่ที่เกิดจากถูกของมีคม และโครงสร้างของหน้ายางโดยเฉพาะแก้มยางบอบช้ำที่เกิดจากปีนขอบข้างทางอย่างแรงจนสะเทือนไปถึงกระทะล้อชำรุด หรือถูกบดในขณะที่ขับรถในระยะทางไกลโดยไม่มีลมยาง
  • อายุของยาง นับตั้งแต่วันผลิต ไม่ควรเกิน 6 ปี สำหรับยางรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงพอ

cr. www.รถนิยม.com/อายุการใช้งานของ-ยางรถยนต์-ไม่ควรใช้เกิน-2-ปี-จริงหรือไม่-สาระน่ารู้เรื่องรถ/

ดูรถมือสองไม่ให้ถูกย้อมแมว

ถ้าหากเราไม่มีความรู้เรื่องรถมือสอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือบริษัท หรือเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ ว่ารถยนต์คันดังกล่าวที่เราต้องการซื้อนั้น อยู่ในสภาพพร้อมงานหรือไม่ หรือรถคันนั้นเคยมีอุบัติเหตุชนหนัก น้ำท่วม หรือตัวเครื่องยนต์นั้น ยังคงดีพร้อมใช้งานหรือไม่ ถ้าหากเราไม่มีความชำนาญพอ จึงต้องปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถยนต์โดยเฉพาะมาตรวจสอบให้

วิธีดูรถมือสอง

ในส่วนของตัวถังรถยนต์นั้น จะต้องไม่มีการชนหนัก อุบัติเหตุ พลิกคว่ำ จนถึงตัวคานรับของตัวรถยนต์ และในส่วนของเครื่องยนต์เครื่องยนต์จะต้องมีการทำงานของระบบเครื่องยนต์เดินเรียบปกติ

อุปกรณ์ภายในห้องเครื่องจะต้องมีการใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีการขาดหรือชำรุด หากอุปกรณ์ภายในห้องเครื่องมีการชำรุดหรือไม่ทำงานตัวใดตัวหนึ่ง จะส่งผลทำให้เครื่องยนต์สามารถสะดุดหรือเกิดความเสียหายในขณะเครื่องยนต์ทำงานอยู่ ทำให้เครื่องพังได้

และที่สำคัญของเหลวภายในเครื่องยนต์จะต้องหมั่นตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้น้ำในหม้อน้ำ หรือน้ำมันเครื่องขาดไปโดยเด็ดขาด เพราะจะส่งผลโดยตรงกับตัวเครื่องยนต์โดยตรง

หรือสามารถสอบถามวิธีการดูรถได้ที่ https://lin.ee/y7VxUsw

การเปลี่ยนยางรถยนต์ จำเป็นมั้ยต้องเปลี่ยนทั้ง 4 ล้อ

การเปลี่ยนยางรถยนต์ จำเป็นมั้ยต้องเปลี่ยนทั้ง 4 ล้อ

เชื่อว่ามีหลายท่านสงสัยเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนล้อ ว่า สามารถเปลี่ยนทีละล้อได้หรือไม่ จะได้ประหยัด หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนให้ครบทุกล้อพร้อมๆ กัน มาดูคำตอบกันครับ

การเปลี่ยนยางรถยนต์ ผู้ใช้รถก็จะต้องมองหายางที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาเปลี่ยนพร้อมกันทีเดียว ให้ทั้ง 4 ล้อใช้ยางในขนาด, แบรนด์ และ รุ่นเดียวกัน หากมีปัญหาติดขัด งบไม่พอที่จะเปลี่ยนยางพร้อมกันทั้ง 4 เส้น การเปลี่ยนยางรถยนต์ไปก่อน 2 เส้นก็เป็นสิ่งที่พึงนิยมทำได้เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเอายางคู่ใหม่ที่ได้มาไปใส่ที่ล้อหน้าก่อน เพราะว่าล้อหน้าเป็นคู่ที่ทำงานหนักกว่า 2 ล้อหลังนั่นเอง

นั่นเพราะ ยางรถยนต์ที่ใส่อยู่กับล้อหน้า มีอัตราการเสื่อมสภาพสูงกว่าล้อหลัง เนื่องจาก ล้อหน้า จะเป็นล้อที่ทั้ง เลี้ยว, ขับเคลื่อน, เผชิญกับสภาพถนนที่เป็นหลุมบ่อก่อนล้อหลังเสมอ แถมยังต้องแบกรับน้ำหนักของเครื่องยนต์เอาไว้ด้วย ดังนั้น หลักการทั่วไปจึงควรเอายางใหม่ ไปใช้กับล้อคู่หน้าก่อน

ขณะเดียวกัน หากมีกรณีที่อาจจะนำมาซึ่งคำถามว่า จะทำการเปลี่ยนยางแค่เส้นเดียวได้หรือไม่ อย่างเช่นเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย ยางเส้นใดเส้นหนึ่ง โดนตะปูตำ หรือว่า ยางรั่ว สามารถซ่อมโดยการปะยางโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ ยกเว้นเป็นรอยฉีกขาดขนาดใหญ่เกินไป หรือการเสียหายบริเวณของแก้มยาง ซึ่งหากนำมาใช้งานต่อก็จะส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ครับ

สรุป คือ การเปลี่ยนยางรถยนต์ ควรเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 ล้อจึงจะดีที่สุดครับ เพราะจะได้นับอายุยางรถยนต์ได้เท่ากัน และยางแต่ละเส้นจะมีอายุการใช้งานเท่ากันด้วย ที่สำคัญดอกยางยังเต็มกว่า และหากยางที่ใส่อยู่กับล้อที่คู่กัน มีสภาพความสมบูรณ์แตกต่างกันมากไป ก็อาจจะส่งผลต่อการใช้งานไม่มากก็น้อยได้ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนควรหมั่นสังเกต และใส่ใจสภาพดอกยางของล้อทั้ง 4 สม่ำเสมอ

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202124.php

จอดรถตากแดดเป็นเวลานานมีผลเสียอย่างไร อันตรายหรือไม่ ?

หากจำเป็นต้องจอดรถตากแดดทุกวันจะมีผลเสียอย่างไรกับรถยนต์ อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนไหนจะได้รับอันตรายและจะมีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง

ทุกวันนี้แสงแดดในประเทศไทยนั้นร้อนระอุจนทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ๆ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างเรานั่นก็คือรถยนต์ ด้วยปริมาณรถที่มากขึ้นสวนทางกับที่จอดรถในร่มมีไม่เพียงพอ ก็จำเป็นต้องจอดรถกลางแดดอันร้อนระอุ แต่รู้หรือไม่ว่ารถจอดตากแดดทุกวันอาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก การจอดรถตากแดดนาน ๆ อาจทำให้อะไหล่รถบางชิ้นเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ วันนี้เราจะพามาดูว่าส่วนไหนของรถบ้างที่มีโอกาสพังเร็วเมื่อโดนแดดนาน ๆ

การจอดรถตากแดด ส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

          ด้วยความร้อนจากแสงแดดในปัจจุบันที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงกลางวันอยู่ที่ 36-40 องศาเซลเซียส การจอดรถตากแดดย่อมทำให้รถยนต์มีอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในรถที่ปิดสนิท เพราะความร้อนจะถูกสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ตัวรถก่อนถ่ายเทเข้าสู่ห้องโดยสารที่เป็นพื้นที่ปิด โอกาสที่จะเกิดความเสียหายภายในห้องโดยสารก็มีมากขึ้น แม้จะไม่เกิดในทันทีแต่ก็เป็นการลดอายุการใช้งานของอะไหล่ต่าง ๆ ให้มีอายุสั้นลงกว่าปกติ

1. สีรถยนต์

          จุดแรกที่ต้องสัมผัสกับแสงแดดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ขับรถออกจากบ้าน ยิ่งถ้าต้องจอดรถไว้กลางแจ้งเป็นเวลานาน รังสียูวีอาจทำให้แว็กซ์หรือสารเคมีที่ใช้ในการเคลือบสีรถให้ดูเงางามเสื่อมคุณภาพลง ส่งผลให้สีรถไม่เงางาม ดูหมองลง

2. ยางรถยนต์

          แม้จะเป็นการจอดรถอยู่เฉย ๆ แต่การที่ยางรถยนต์ต้องอยู่กลางแจ้ง ทนต่อความร้อนเป็นระยะเวลานาน ๆ ย่อมส่งผลให้ยางเสื่อมคุณภาพได้เร็วขึ้น ไม่ต่างจากการขับรถในเวลาปกติเลย

3. ฟิล์มกรองแสง

          อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องรองรับกับแสงอาทิตย์โดยตรง แม้ฟิล์มกรองแสงจะมีหน้าที่ป้องกันความร้อนจากแสงแดดและรังสียูวี แต่การที่ฟิล์มต้องเจอกับความร้อนในทุก ๆ วันเป็นเวลานานก็อาจทำให้อายุการใช้งานสั้นลงกว่าปกติ

4. ห้องโดยสาร

          บางคนอาจบอกว่าการจอดรถตากแดดเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียภายในห้องโดยสารไปในตัว แต่วิธีนี้ส่วนใหญ่จะมีการเปิดประตูรถเพื่อระบายความร้อน แต่การจอดรถตากแดดเป็นเวลานานโดยที่ทุกอย่างปิดสนิท จะทำให้เกิดความร้อนสะสมภายในห้องโดยสาร ส่งผลให้วัสดุต่าง ๆ ที่เป็นหนัง ยางหรือพลาสติก เสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น

5. เครื่องยนต์

          ทุกครั้งที่สตาร์ตเครื่องและขับรถ เครื่องยนต์จะต้องเจอกับสภาวะอุณหภูมิที่สูงอยู่แล้ว แต่การจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน เครื่องยนต์จะได้รับผลกระทบที่แตกต่างออกไป น้ำมันเครื่องอาจเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติจนเกิดอาการบวม และระบบปรับอากาศที่ต้องทำงานหนักเพื่อระบายความร้อน

          นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ต้องพึงระวังเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องจอดรถกลางแดดก็คือ อุปกรณ์หรือสิ่งของบางอย่างที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟได้หากอยู่ในที่ที่มีความร้อนเป็นเวลานาน เช่น ไฟแช็ก, แบตฯ สำรอง, โทรศัพท์มือถือ, ขวดสเปร์ย และขวดน้ำพลาสติก

เมื่อต้องจอดรถตากแดดควรทำอย่างไร

          หากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำรถจอดตากแดดทุกวันได้ ลองมาดูเคล็ดลับที่อาจทำให้รถยนต์ของคุณเกิดความเสียหายจากรังสียูวีและแสงแดดได้น้อยลง

1. ใช้ม่านบังแดด

          หากไม่สามารถหาที่จอดรถร่ม ๆ ได้ และจำเป็นต้องจอดรถตากแดด ม่านบังแดดเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่คุณควรนำมาใช้ ถึงแม้จะไม่ได้ปกป้องรถภายนอกได้ แต่ม่านบังแดดสามารถลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารไม่ให้สูงเกินไปได้ ทั้งยังช่วยปกป้องวัสดุและอุปกรณต่าง ๆ ภายในห้องโดยสารได้ในระดับหนึ่ง

2. หุ้มเบาะที่นั่ง

          เบาะรถยนต์ส่วนใหญ่ทำจากหนังหรือวัสดุพีวีซี ที่เมื่อได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์หรืออุณหภูมิภายในรถที่สูงขึ้นย่อมทำให้มีคุณภาพที่เสื่อมลง มีสีที่ซีดจาง และเกิดการแตกลายงาได้ การหุ้มเบาะจึงเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเบาะรถยนต์

3. ผ้าคลุมรถ

          หากคุณเป็นคนรักรถที่จำเป็นต้องจอดรถตากแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุก ๆ วัน ขอเพียงแค่มีเวลาสักนิด หลังจากจอดรถเสร็จใช้ผ้าคลุมรถของคุณก็จะช่วยป้องกันรังสียูวีและแสงแดดได้ เพราะผ้าคลุมรถส่วนใหญ่จะมีการเคลือบสารสะท้อนแสงมาแล้วนั่นเอง

4. เคลือบ แว็กซ์สีรถ

          วิธีนี้ไม่ได้ปกป้องสีรถจากแสงแดดได้ 100% แต่ก็ดีกว่าการที่ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะการลงแว็กซ์หรือเคลือบสีรถจะช่วยปกป้องรถยนต์จากรังสียูวีได้ในระดับหนึ่ง แต่คุณจะต้องหมั่นลงแว็กซ์เป็นประจำเพื่อให้การปกป้องนี้คงประสิทธิภาพไว้ได้อย่างต่อเนื่อง

5. ติดฟิล์มที่ตัวรถยนต์

          การติดฟิล์มที่ตัวรถหรือเรียกอีกอย่างว่าการ Wrap รถ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกัน นอกจากจะช่วยป้องกันริ้วรอย หรือเศษหินที่อาจกระเด็นมาโดนแล้ว การ Wrap รถ ยังช่วยถนอมสีของรถ มีให้เลือกทั้งแบบสีต่าง ๆ และแบบใส สามารถลอกออกได้เมื่อไม่ต้องการใช้งานแล้ว ในส่วนของราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์

6. ติดฟิล์มกรองแสงที่มีความเข้มข้นสูง

          อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการลดความร้อนภายในห้องโดยสารหากต้องจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน คือการเลือกติดฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพสูง และมีความเข้มข้นของฟิล์มที่มาก โดยทั่วไปรถที่ออกมาจากศูนย์บริการจะติดฟิล์มกรองแสงที่มีระดับความเข้มประมาณ 40-60% เท่านั้น เราสามารถเพิ่มระดับความเข้มของฟิล์มกรองแสงเป็น 60-80% ได้เช่นกัน แต่ควรเลือกประเภทของฟิล์มที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในเวลากลางคืน และฟิล์มที่มีส่วนผสมของสารปรอทตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย

7. มองหาที่ร่มไว้ก่อน

          แม้จะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ในการปฏิบัตินั้นถือว่ายาก เพราะการหาที่จอดรถกลางแจ้งที่มีร่มเงาของสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเช่น ตึก หรือต้นไม้นั้น ถือเป็นขุมทรัพย์อย่างหนึ่งที่คนรักรถทุกคนต่างต้องการในสิ่งเดียวกัน ฉะนั้นถ้าคุณมีโอกาส หรือมีเวลาวนรถหาที่จอดร่ม ๆ ก็ควรทำมันเป็นลำดับแรกเลย เพราะที่จอดร่ม ๆ จะช่วยปกป้องรถของคุณจากแสงแดดได้ดีที่สุดนั่นเอง

          อย่างไรก็ตาม จากวิธีการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องจอดรถตากแดดทุกวัน จอดรถตากแดดนาน ๆ เท่านั้น
ใครที่สะดวกหรือสนใจในวิธีการไหนก็ลองไปทำกันดูได้ตามความเหมาะสม แต่ถึงยังไงวิธีการที่ดีที่สุดที่ช่วยปกป้องรถยนต์ที่เรารักจากแสงแดดและรังสียูวีก็คือการจอดรถในที่ร่มนั่นเอง

credit : https://car.kapook.com/view242391.html

วิธีขับรถส่วนตัวไปรักษาโควิด พาผู้ติดเชื้อโควิดส่งโรงพยาบาลอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีขับรถส่วนตัวไปรักษาโควิด หรือพาผู้ติดเชื้อโควิด ไปหาหมอ รับการรักษาที่โรงพยาบาล มีหลักปฏิบัติอย่างไร ให้ปลอดภัย ไม่เพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อ COVID 19 สู่ผู้อื่น 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด 19 กลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยครั้งนี้ถือว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส COVID 19 เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้รถพยาบาลที่ใช้ในการรับ-ส่งผู้ป่วยไม่สามารถให้บริการได้แบบทันท่วงที ซึ่งผู้ป่วยหรือคนในครอบครัวที่ติดเชื้อและมีรถยนต์ส่วนตัวสามารถเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาหรือส่งตัวผู้ป่วยได้ แต่ต้องทำตามขั้นตอนและข้อปฏิบัติวิธีใช้ รถยนต์ ตามที่มีการประกาศ

ทั้งนี้ สำนักงานประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร ได้ออกคำแนะนำวิธีการเดินทางไปรับการรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อ COVID-19 โดยรถยนต์ส่วนตัว หากผู้ติดเชื้อประสงค์จะเดินทางไปรับการรักษาโดยรถยนต์ส่วนตัวให้แจ้งไปยังสายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ กทม. ก่อน เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และควรเตรียมเอกสารผล LAB ยืนยันการติดเชื้อ COVID-19 ให้พร้อม และหากมีผู้ขับรถให้ แนะนำผู้ติดเชื้อและผู้ที่ขับรถปฏิบัติดังนี้

ภาพจาก สำนักงานประชาสัมพันธ์กรุงเทพมหานคร

  • ให้มีฉากกั้นระหว่างคนขับและผู้ติดเชื้อเพื่อให้มีระยะห่างระหว่างกันมากที่สุด
  • ใส่หน้ากากอนามัย 2 ชั้น ทั้งคนขับและผู้ติดเชื้อ
  • เปิดกระจกและปิดเครื่องปรับอากาศ
  • คนขับและผู้ติดเชื้อให้นั่งทแยงมุมคนละฝั่ง
  • สำรวจเส้นทางก่อนออกเดินทาง โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่ควรเกิน 30 นาที

เมื่อเดินทางไปถึงยังจุดที่กำหนดให้นั่งรออยู่ภายในรถ จากนั้นให้โทรศัพท์ประสานงานเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ารับการรักษาตามช่องทางของโรงพยาบาลต่อไป ส่วนผู้ติดเชื้อโควิด 19 หรือผู้ที่มีญาติพี่น้องติดเชื้อและต้องการประสานรถพยาบาลไปรับผู้ป่วยจากที่พัก สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน 1669 ศูนย์เอราวัณ กทม.

สำหรับการเดินทางสัญจรในช่วงการระบาดของ โควิด 19 ทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว หรือรถสาธารณะ มีหลักปฏิบัติเพื่อเพิ่มความปลอดภัยต่อการติดเชื้อ คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ขอบคุณข้อมูลจาก prbangkok.com

credit : https://car.kapook.com/view240729.html

รู้หรือไม่? การเหยียบเบรกบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและมีข้อเสียตามมาอีกมากมาย ‼

รู้หรือไม่? การเหยียบเบรกบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องและมีข้อเสียตามมาอีกมากมาย

หยุด! พฤติกรรมการขับขี่ เดี๋ยวเร่ง เดี๋ยวเบรก คุณรู้หรือไม่ว่าการขับๆ เบรกๆ แบบนี้บ่อยๆ มีข้อเสียมากกว่าที่คิด มาดูว่าข้อเสียที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง

การเหยียบเบรกเหยียบคันเร่งบ่อยๆ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเพราะจะทำให้ชิ้นส่วนต่างๆของรถยนต์อาจจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเบรกที่หมดไวกว่าปกติ บางคนเปลี่ยนผ้าเบรกปีต่อปี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผ้าเบรกจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 30,000-40,000 กิโลเมตร รวมถึงเครื่องยนต์ระบบส่งกำลังสึกหรอและยังเกิดการสั่งจ่ายน้ำมันไม่นิ่ง เมื่อการจ่ายน้ำมันไม่นิ่งจะทำให้การสั่งจ่ายน้ำมันมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาจะทำให้การสั่งจ่ายน้ำมันไม่นิ่ง เมื่อไม่นิ่งก็จะส่งผลต่ออัตราประหยัดนั่นเอง

นอกจากนี้ พฤติกรรมการเหยียบเบรกบ่อยๆยังส่งผลถึงความปลอดภัย เพราะการที่เหยียบเบรกบ่อยๆจะทำให้รถคันหลังต้องเบรกตามโดยไม่มีความจำเป็น อีกทั้งคันหลังต้องคอยรักษาระยะเพิ่มขึ้นนั่นเท่ากับว่าเขาต้องมารับภาระความเสี่ยงและยังสร้างความรำคาญใจอีกด้วย

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202115.php

อาการเกียร์ออโต้ก่อนพัง, พฤติกรรมที่ควรเลี่ยงและแนวทางการบำรุงรักษา?

อาการเกียร์ออโต้ก่อนพัง, พฤติกรรมที่ควรเลี่ยงและแนวทางการบำรุงรักษา?รถคันหนึ่งวิ่งระยะทางหลายพันกิโลเมตรต่อปี เกียร์ที่ทำงานหนักอาจจะมีปัญหาได้ ซึ่งเราอาจจะไม่ทราบถึงอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจบ่งบอกถึงเกียร์ที่กำลังมีปัญหาและพังเสียหายในอนาคตต่อไป

อาการที่บ่งบอกถึงเกียร์ที่มีปัญหา
1) เข้าเกียร์แล้วรถไม่ค่อยอยากจะออกตัว
อาการรถไม่ออกตัว โดยเฉพาะในเกียร์เดินหน้า(D) หรือเกียร์ถอยหลัง(R) อาการนี้มีสาเหตุจากขาดการดูแลบำรุงรักษา โดยเฉพาะรถจอดหรือรถที่ไม่ค่อยได้วิ่ง ทำให้น้ำมันเกียร์มีปริมาณไม่ถูกต้อง เช่น น้อยเกินไปหรือมากเกินไป แก้ไขได้โดยเติมน้ำมันให้ได้ระดับที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะใช้งานได้ตามปกติ
แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับรถที่มีระยะการใช้งานมากกว่า 100,000 กิโลเมตรขึ้นไป และได้รับการดูแลบำรุงรักษาตามปกติ ก็จะเกิดจากการสึกหรอภายในชิ้นส่วนของเกียร์ต่างๆ เช่น ชุดผ้าคลัตช์, ชุดวาล์ว ควบคุมแรงดัน การแก้ไขเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องยกเกียร์ออกมาผ่า, โอเวอร์ฮอล์เกียร์ (overhaul) หรือเปลี่ยนชิ้นส่วนเกียร์นั้นๆ หรืออาจรุนแรงถึงขึ้นยกเกียร์ลูกใหม่กันเลยทีเดียว

2) เข้าเกียร์ D หรือ R แล้วกระตุกหรือกระชาก
อาจเกิดจากการออกรถในขณะที่อุณหภูมิของเครื่องยนต์ไม่ถึงเกณฑ์ทำงาน ออกรถในขณะที่เครื่องยังเย็นอยู่ หรือเมื่อใช้งานไปแล้ว (เครื่องร้อนแล้ว) แต่น้ำมันเกียร์ยังไม่ถึงอุณหภูมิที่ถูกต้อง (เกียร์เย็น) หรือน้ำมันเกียร์ร้อนเกินกว่าที่กำหนด การแก้ไขต้องเริ่มที่ตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์ รวมทั้งคุณภาพของน้ำมันเกียร์ ตามด้วยการตรวจเช็คระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์และน้ำมันเกียร์

3) เกียร์เปลี่ยนเร็วหรือช้ากว่าปกติ
อาการนี้เกิดจากการปรับตั้งสายเกียร์ที่ไม่ถูกต้อง (ในรุ่นที่มีสายเกียร์) แก้ไขโดยการปรับตั้งใหม่ ในรุ่นที่ควบคุมระบบไฟฟ้า ให้เคลียร์เมมโมรีของสมองเกียร์ (Transmission Control Module) หรือตรวจสอบวาล์วควบคุมทางเดินน้ำมันด้วยไฟฟ้าว่า มีน้ำมันเกียร์มากหรือน้อยเกินไป รวมทั้งน้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ แก้ไขด้วยการเติมหรือเดรนส่วนที่เกินออกหรือเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ การอุดตันของทางเดินน้ำมันเกียร์ในสมองเกียร์ (Valve body) แก้ไขด้วยการถอดสมองเกียร์ (โดยช่างที่ชำนาญ) ออกมาล้างทำความสะอาด อาจมีการรั่วซึมภายในระบบเกียร์ของชุดเกียร์ต่างๆ เช่น แหวนกันน้ำมัน ลูกสูบวาล์ว (ลิ้นปิดเปิด ทั้งแบบกลไกหรือแบบไฟฟ้า)

4) เกียร์สุดท้ายไม่มีและหรือไม่มีคิกดาวน์
อาการไม่มีคิกดาวน์ ถ้าเกิดขึ้นหลังจากการซ่อมเกียร์ (ผ่าเกียร์) มักเกิดจากการประกอบผิดพลาด, ชิ้นส่วน แหวนหรือโอริงกันน้ำมันฉีกขาด ใส่กลับทาง ใส่ไม่ครบ แต่ถ้าเกิดจากการใช้งานมานานแล้วยังไม่เคยผ่านการซ่อมมาก่อน อาจจะเกิดจากการรั่วซึมภายใน ก็ต้องผ่าเกียร์ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย

5) ออกตัว ต้องเร่งเครื่องใช้รอบสูงๆ
อาการนี้เกิดขึ้นแม้ว่าจะวอร์มเครื่องก่อนออกรถแล้วก็ตาม แก้ไขโดยตรวจระดับน้ำมันเกียร์และคุณภาพของน้ำมันเกียร์ ถ้าน้ำมันเกียร์ถูกต้อง มักเกิดจากผ้าคลัตช์ในชุดเกียร์สึกหรอเสื่อมสภาพ แก้ไขโดยการยกเกียร์ผ่าเกียร์ เปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ

▪️ พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
– เหยียบคันเร่งแรงๆ บ่อยๆ จะทำให้เกียร์พังได้ไวกว่าที่กำหนด ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมนี้
– ใส่เกียร์ว่างขณะรถวิ่ง ถ้าคุณใส่เกียร์ว่างขณะรถกำลังวิ่งอยู่ จะส่งผลให้น้ำมันหล่อลื่นในเกียร์ลดลง จนขาดแรงดัน ทำให้รถเกิดความร้อนสูง และเกียร์พังในที่สุด
– ใช้เกียร์ P ทั้งๆ ที่รถยังไม่นิ่ง การกระทำเช่นนี้จะส่งผลกับระบบเกียร์โดยตรง เพราะชุดเกียร์ทำงานโดยการล็อคตัวเองอัตโนมัติ จนส่งผลทำให้เกียร์พังได้

▪️ แนวทางการบำรุงรักษา
– หมั่นเช็กสภาพเกียร์อยู่สม่ำเสมอ ทั้งนี้เพราะหากเจอสิ่งผิดปกติจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ไม่ลุกลาม
– เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระเวลาที่กำหนด จะช่วยถนอมเกียร์ให้ใช้งานได้นาน โดยควรเปลี่ยนเมื่อรถวิ่งครบ 40,000 กิโลเมตร
– ไม่เร่งเครื่องแรง เมื่อทำการสตาร์ทรถ เพราะจะทำให้ระบบเกียร์พังได้ง่าย และอาจลุกลามไปถึงระบบเครื่องยนต์เสียหายได้ด้วย
– ไม่เร่งเครื่องแรง ไม่เหยียบคันเร่งหนัก เพราะอาจทำให้เกียร์กระชาย และเกิดความเสียหายได้
ใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานและสภาวะในการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่

credit : https://www.valvoline.co.th/information/tips/202116.php

เช็คก่อนเดินทาง 7 จุดสำคัญของรถยนต์ ที่ควรตรวจสภาพความฟิตก่อนเดินทางไกล

ทุกๆ หน้าเทศกาลที่มีวันหยุดยาว หลายคนจะใช้จังหวะนี้เดินทางกลับบ้านเกิด หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆ ซึ่งถ้ามีรถส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็เลือกรถส่วนตัวไปเพื่อความสะดวก

อย่างไรก็ตาม ก่อนเดินทางไกลการตรวจสอบสภาพความฟิตของรถก็เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับการตรวจสอบความฟิตของคนขับ แล้วจุดไหนของรถบ้างที่ต้องเช็คเราจะมาชี้เป้า 7 จุดที่ควรเช็คให้ดีก่อนออกเดินทางไกล จะได้ไม่เหวอเพราะเจอปัญหากินข้าวลิงกลางทาง

เช็คน้ำมันเครื่อง

สิ่งสำคัญของรถยนต์นอกเหนือจากน้ำมันก็คือ ‘น้ำมันเครื่อง’ นี่แหละที่สำคัญ หากขาดน้ำมันเครื่องไปสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเครื่องยนต์ถึงขั้นพังได้เพราะเครื่องยนต์จะขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นลดแรงเสียดทานในเครื่องยนต์ปัญหาต่างๆ ทั้งลูกสูบติด ฝาสูบโก่ง เครื่องความร้อนขึ้น ชาร์ปละลาย (แผ่นปะกับที่รองระหว่างข้อเหวี่ยงกับก้านสูบ) ทุกปัญหาเกิดจากการขาดน้ำมันเครื่อง ซึ่งความพินาศนั้นระดับยกเครื่องใหม่เลยทีเดียว

การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องทำได้ไม่ยาก แค่เปิดกระโปรงรถเปิดมองหาตำแหน่งจุดตรวจสอบน้ำมันเครื่อง จะมีก้านพลาสติกให้ตรวจสอบ ดึงออกมาแล้วดูว่าจุดของน้ำมันเครื่องอยู่ในตำแหน่ง L หรือ Low หรือเปล่า ถ้าใช่ก็เติมด่วน อย่ารอจนถึงครบรอบถ่ายน้ำมันเครื่องค่อยเปลี่ยนเลย มันเสี่ยงไป

เช็คระบบหล่อเย็น

อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องตรวจสอบมากที่สุดไม่แพ้เรื่องอื่นก็คือระบบหล่อเย็นในรถที่อยู่ในเครื่องยนต์ เราควรตรวจสอบการทำงานของระบบหล่อเย็นเสมอทุกครั้ง เช็คดูว่าในระบบหล่อเย็นยังทำงานดีอยู่ไหม หรือน้ำในหม้อน้ำยังมีน้ำอยู่ไหม แม้รถรุ่นใหม่หากเข้าศูนย์สม่ำเสมอ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะศูนย์จะเติมให้ตลอด

แต่ก็เช็คสักนิดก่อนเดินทางก็ดี ถ้าเกิดเห็นหม้อน้ำมีปริมาณน้ำลดลงมากกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องตรวจสอบก่อนเดินทางไกลอย่างด่วน ไม่อย่างนั้นเครื่องร้อนเกินพังนะ

เช็คยาง

รถไม่มียางก็วิ่งไม่ได้นี่คือสัจธรรม ต่อให้ ‘โดมินิค ทอเร็ตโต้’ มาขับรถที่ไม่มียางก็อย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้ ดังนั้นเราควรตรวจสอบยางด้วยทุกครั้ง ทั้งลมยาง และดอกยาง อย่างแรกสุดตรวจสอบลมยางก่อนว่ามีปริมาณลมตรงกับมาตรฐานที่ควรจะเป็นไหม ซึ่งรถทุกคัน จะมีข้อมูลปริมาณลมยางที่เหมาะสมบอกไว้อยู่

อีกสิ่งหนึ่งคือดอกยาง ไม่ต้องประหยัดมากจนเกินไปเพราะหากดอกยางหมดโอกาสที่รถจะเกาะถนนไม่อยู่มีสูงมาก เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการไถล บินไปเลยแม็กนั่มสูงมากๆ (ใครเข้าใจมุกนี้ถือว่าไม่เด็กแล้วนะ) หรือถ้ายางปริจนใกล้จะระเบิดก็ควรเปลี่ยนเถอะ ไม่อย่างนั้นยางระเบิดรถคว่ำ อาจถึงตายนะคุณ

เช็คผ้าเบรค

เบรคคืออีกส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ ถ้าไม่มีเบรคแล้วรถจะเบรคยังไงล่ะจริงไหม แต่ที่น่าตกใจคือคนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผ้าเบรค โดยเฉพาะรถยนต์หลายคนคิดว่าผ้าเบรคมีหลายล้อ หมดสักข้างก็มีเป็นไร

หารู้ไม่ว่าหากฝืนใช้ผ้าเบรคจนหมดนอกจากจะเบรคไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ตามมาคือจานเบรคสึก ซึ่งจานเบรคสึกเมื่อเจอกับผ้าเบรคจะทำให้รถเกิดเสียงหอนเพื่อเตือน ถ้ายังไม่ฟังอีกก็เตรียมเงินก้อนไปซื้อจานเบรคมาเปลี่ยนได้เลย สึกก่อนกำหนดแน่ๆ 

เช็คไฟส่องสว่าง

จุดหลักๆ ของไฟส่องสว่างที่ควรเช็คหลักๆ ได้แก่ ไฟหน้ารถ ไฟสูง ไฟท้าย ไฟเลี้ยวทั้งสิงข้าง และไฟเบรคทั้งสองข้าง บางคนมักง่าย คิดแค่ว่า ไฟมันดับไปดวงเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก มองเห็นอยู่ดี แต่คุณอย่าลืมว่า เวลากลางคืน รถยนต์ที่ไฟดับข้างหนึ่งมองไกลๆ คนนึกว่ามอเตอร์ไซค์ สมมติคาดเดาระยะผิดในการแซงขึ้นมานี่ชนตู้มเลยนะ

ส่วนไฟเลี้ยวที่ต้องส่งสัญญาณบอกคนอื่นว่าเราจะเลี้ยวก็สำคัญ บางจุดคุณจะกลับรถแต่ไฟเลี้ยวเสีย รถคันอื่นที่ตามมาหลังคุณมาเขาไม่สามารถตรัสรู้กับคุณได้แน่นอนว่าจะเลี้ยวหรือหยุด

เช็คแบตเตอรี่

แบตหมดคือจุดจบของการเดินทาง รถยนต์ใช้แบตเตอรี่ในการสตาร์ททั้งนั้น ถ้าแบตหมดรถก็สตาร์ทไม่ติด วิธีตรวจสอบแบตเตอร์ของรถทำได้สองวิธีคือหนึ่งใช้เครื่องมือวัดโวลต์ของแบตรถยนต์ซึ่งหาซื้อมาได้ไม่ยาก หรือสังเกตจากการตลาดรถยนต์

ถ้าสตาร์ทติดยากแล้วเป็นรถที่ใช้มานานเกินสองปีสันนิษฐานเบื้องต้นเลยว่าแบตหมด หากมีอุปกรณ์วัดโวลต์ไฟแบบพกพาก็สามารถเอามาช่วยตรวจสอบได้เพื่อความชัวร์ ถ้าแรงดันไฟต่ำกว่า 11 โวลต์ โอกาสสตาร์ทไม่ติดมีสูง แต่ถ้าแรงดันอยู่ที่ 13.8  – 14.2 โวลต์ ถือว่าปกติ

7-trick-checking-your-car-before-a-long-drive-61

เช็คของเหลวอื่นๆ

ในรถยังมีของเหลวอื่นๆ ที่สำคัญนอกจากน้ำมันเครื่อง และน้ำหล่อเย็น ได้แก่น้ำมันเบรค, น้ำมันครัช, น้ำมันเกียร์ หรือน้ำมันพาวเวอร์ (มีผลในการควบคุมพวงมาลัย) เปิดใต้กระโปรงมา (ใช่..กระโปรงรถ) จะเห็นกระปุกน้ำมันต่างๆ ตั้งอยู่

ถ้าไม่รู้ว่าจุดไหน เปิดคู่มือเลย ในนั้นมีบอกไว้อย่างละเอียด ส่วนน้ำยาแอร์ แม้จะไม่มีผลต่อการขับขี่ แต่ก็มีผลต่อความสบาย ถ้าแอร์ไม่เย็น แล้วต้องเดินทางในจุดที่ร้อนจัดๆ แอร์พัง นี่ชีวิตก็พังด้วยน้ำ ถ้ารู้สึกว่าแอร์ไม่เย็นก็เติมเถอะ

credit: https://www.mangozero.com/7-trick-checking-your-car-before-a-long-drive/

4 สัญญาณ เตือนอันตรายก่อนเครื่องยนต์พัง

หลายๆ คนอาจไม่เคยฉุกคิด หรือเอะใจเลยว่า เครื่องยนต์ใกล้พังมีอาการแบบไหน เนื่องจากไม่เคยสังเกต ไม่เคยใส่ใจต่ออาการที่มันคอยเตือนถึงความผิดปกติ จนกระทั่งมันกลับบ้านเก่าก่อนเวลาอันควร

     การขับขี่รถยนต์ นอกจากขับเป็น และขับถูกกฎจราจรแล้ว การรู้เรื่องรถของเราก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องยนต์ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการขับเคลื่อนรถยนต์ของคุณให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนไปถึงจุดหมาย

สำหรับสัญญาณเตือนก่อนเครื่องยนต์พัง มีอยู่หลักๆ ดังนี้

     1. ไฟสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ ถือว่าเห็นชัด และง่ายมาก เพราะมันอยู่ตรงหน้าของคุณ ซึ่งไฟเตือนที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาก็ตาม มันบอกได้อย่างเดียวว่า รถของคุณมีปัญหาแล้ว

     2. เสียงแปลกๆ ดังผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเสียดสี หรือเสียงกระทบกันของโลหะ ส่วนไหนก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในระหว่างขับขี่ ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ให้รีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน

     3. กลิ่นเหม็นไหม้ หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้แปลกๆ ที่ไม่ว่ามันจะมาจากส่วนไหน แสดงว่ารถของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นคุณควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กกับช่างให้เร็วที่สุด

     4. ท่อไอเสียมีควันผิดปกติ จริงๆ แล้วควันจากท่อไอเสียที่ดีจะต้องสะอาด ไร้กลิ่น และไร้สี แต่ถ้าเมื่อใดที่รถของคุณเริ่มมีปัญหา สีของควันที่ออกมาจะบ่งบอกถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น ควันสีขาวไม่มีกลิ่น, ควันสีฟ้าอ่อนมีกลิ่น ฯลฯ

     แม้การหมั่นสังเกตจะเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้คุณกลัวรถจะเป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา การขับรถไปด้วยใจหวาดหวั่นไม่ใช่เรื่องดี เผลอๆ อาจทำให้คุณกลายเป็นคนวิตกจริตไปได้ ทางที่ดีเอาแค่พอประมาณ ดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และคอยตรวจเช็กเมื่อถึงระยะที่กำหนด

สนับสนุนเนื้อหา

cr. https://auto.sanook.com/64333/

เจอ 6 อาการแบบนี้เตรียมเปลี่ยน “แบตเตอรี่” ลูกใหม่ได้เลย

แบตเตอรี่ ถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการเดิน ทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะมีอายุการใช้งาน 1.5 – 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน

จริงๆ แล้วไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้ง หรือแบบเปียก มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนที่แบตฯ จะหมดคล้ายๆ กัน

     ซึ่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่มีปัญหา มีอยู่หลักๆ ดังนี้

1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีกำลัง สตาร์ทติดยากกว่าที่เคยเป็น

2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที รถจะสตาร์ทติดยาก ต้องพยายามสตาร์ทหลายๆ ครั้งถึงจะติด

3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม

4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม

5. แบตเตอรี่แบบเปียก น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น

6. ถึงขั้นต้องพ่วงแบตฯ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในการสตาร์ทรถยนต์ เพราะสตาร์ทรถไม่ติดเลย

     เมื่อไหร่ที่เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ให้คุณเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะไม่แน่ว่ามันจะไปหมดกลางทางที่ไหน และเมื่อไหร่ หากเจอแจ๊กพ็อตในขณะที่มีธุระเร่งด่วนมากๆ มีหงุดหงิดแน่ๆ

สนับสนุนเนื้อหา

cr. https://auto.sanook.com/64477/

ขัดสีลบรอยขีดข่วน ทำด้วยตนเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งช่าง

การขัดสีลบรอยขีดข่วน อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก และวุ่นวาย หากอยากสบายก็ต้องเข้าร้านคาร์แคร์ หรืออู่สีเป็นผู้จัดการทำให้เท่านั้น ซึ่งมันก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ที่มีราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันกันเลยทีเดียว

แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเข้าร้านอย่างเดียว คุณเองก็สามารถจัดการกับร่องรอยขีดข่วนต่างๆ นี้ได้ง่ายๆ ไม่เสียเวลานานอย่างที่คิด เพียงแค่ทำตามขั้นตอนดังนี้

เริ่มแรกให้ล้างทำความสะอาดรถให้เรียบร้อย จากนั้นเช็ดให้แห้ง และตรวจสอบรอบๆ รถของคุณว่ามีรอยขีดข่วนตรงไหนบ้าง โดยเฉพาะร่องรอยที่มีความลึก สังเกตดูว่ารอยมันลึกลงไปมากน้อยแค่ไหน เพราะหากเป็นรอยที่ลึกลงไปมากๆ การขัดสีลบรอยขีดข่วน อาจจะทำได้แค่ให้รอยนั้นจางลง ไม่ได้หายไปเลยเหมือนรอยเล็กๆ อื่นๆ

 ส่วนวิธีขัด คุณสามารถเลือกได้ 2 แบบ ทั้งแบบใช้เครื่องขัด หรือถ้าไม่มีเครื่อง ก็ใช้มือขัดแทนก็ได้เช่นกัน

     1. การขัดสีลบรอยขีดข่วนแบบใช้เครื่องขัด ก่อนจะใช้เครื่องขัด คุณต้องแน่ใจก่อนว่ามีความชำนาญ ใช้เครื่องเป็น นอกจากนี้คุณควรตั้งรอบของเครื่องขัดไม่ให้สูงเกินไป เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนเพิ่มขึ้น จากนั้นให้เริ่มขัดจากตรงที่เป็นรอยลึกก่อน โดยการใช้น้ำยาขัดสีแบบหยาบบีบ หรือป้ายลงไปบริเวณนั้นพอประมาณ แล้วจึงค่อยๆ ขัด พร้อมกับตรวจเช็กว่ารอยเหล่านั้นหายไป หรือจางลงไปแล้วรึยัง และหลังจากขัดรอยลึกๆ เสร็จแล้ว จึงค่อยไปเก็บรอยขีดข่วนเล็กๆ ด้วยน้ำยาขัดสีแบบละเอียด ขัดไปเช็กไปว่ารอยหายหรือยังจนทั่วทั้งคัน

     2. การขัดสีลบรอยขีดข่วนแบบใช้มือขัด วิธีการขัดใช้สเต็ปเดียวกันกับการใช้เครื่อง โดยเริ่มไล่จากรอยลึกก่อน แล้วจึงค่อยไปเก็บรอยเล็กๆ แต่เครื่องมือที่ใช้เปลี่ยนจากเครื่องขัดมาเป็นฟองน้ำที่ใช้สำหรับขัดสีรถ โดยเฉพาะ (คนละแบบกับฟองน้ำที่ใช้เคลือบสีรถ) และวิธีการขัดก็ควรจะขัดเป็นวงกลมแบบก้นหอย หรือถ้าไม่ถนัด เมื่อย ก็ให้ขัดเป็นแนวนอน หรือแนวตั้งแทนก็ได้ (แต่คุณควรจะเลือกแนวใดแนวหนึ่งจะดีกว่า) และระหว่างขัดให้ใช้สเปรย์ฉีดน้ำเปล่าลงไปด้วย เวลาขัดจะได้ลื่นๆ อีกทั้งมันยังช่วยทำให้การขัดง่ายขึ้นอีกด้วย

     สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องขัดหรือมือขัด คุณก็ควรที่จะทำอย่างระมัดระวัง จะได้ไม่ไปเพิ่มรอยขีดข่วนขึ้นบนรถของคุณอีก แถมทำเองยังได้ประหยัดเงินอีกด้วย

สนับสนุนเนื้อหา

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า พร้อมวิธีแก้ไข

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า พร้อมวิธีแก้ไข

      ฝ้ากระจกรถยนต์ สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะอุณหภูมิของอากาศกับความชื้นภายนอก และภายในต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเห็นได้เมื่อเกิดอากาศหนาวเย็น ฝนตก หรือในตอนเช้าๆ

หากเกิดฝ้าขึ้นที่กระจกหลังก็คงจะไม่ต้องเป็นห่วงเท่าไรนัก เพราะที่กระจกหลังจะมีตัวไล่ฝ้าติดอยู่ เมื่อต้องใช้งานก็เพียงแค่กดปุ่มไล่ฝ้า เท่านี้ฝ้าที่กระจกหลังก็จะค่อยๆ หายไป

ส่วนฝ้าที่เกิดกับกระจกบานหน้า และกระจกด้านข้าง ให้สังเกตดูก่อนว่า เกิดฝ้าขึ้นภายใน หรือภายนอกรถ เพราะหากเกิดฝ้าที่ด้านนอก แสดงว่าอุณหภูมิภายในรถเย็นกว่าภายนอก แต่ถ้าเกิดฝ้าภายในห้องโดยสาร แสดงว่าอุณหภูมิภายนอกเย็นกว่าภายในนั่นเอง

ส่วนวิธีกำจัดฝ้าให้หายไปจากกระจกรถของคุณ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

1. ปรับอุณหภูมิทั้งภายนอก และภายในให้เท่ากัน โดยการปรับความเย็นของแอร์รถยนต์ เพิ่ม-ลด ให้สมดุล
2. เปิด หรือแง้มกระจกไว้สักพัก เพื่อให้อากาศถ่ายเท และปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน
3. ปรับทิศทางลมของช่องแอร์ไม่ให้หันไปโดนกระจก
4. ใช้ผ้าหรือที่ปัดน้ำฝนเช็ด (ใช้ผ้าเช็ด ควรจอดรถก่อน เพื่อความปลอดภัย)

      แม้ว่าฝ้ากระจกรถยนต์จะดูไม่เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วมันสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เพราะมันจะไปบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่ จนทำให้เรามองเห็นถนนหนทางไม่ชัดเจน หรือทำให้มองไม่เห็นรถคันอื่นๆ รอบข้าง ฯลฯ

สนับสนุนเนื้อหา

10 ท่าทางจับพวงมาลัยบอกนิสัยคุณได้

ต่ละคนก็มีวิธีการจับพวงมาลัยต่างกันไป แล้วรู้หรือไม่ว่าแต่ละท่าทางสามารถบ่งบอกนิสัยคุณได้ด้วย ลองไปดูดีกว่าว่าจะแม่นแค่ไหน!

1.จับตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา

การจับพวงมาลัยลักษณะนี้ถือเป็นท่ามาตรฐานที่ค่อนข้างปลอดภัยในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น คนที่มักจับพวงมาลัยลักษณะนี้ถือว่าเป็น ‘Perfectionist’ หรือคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ

2.ตำแหน่ง 12 นาฬิกาด้วยมือข้างเดียว

การจับพวงมาลัยแบบนี้ส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งท่านี้บ่งบอกว่าคุณเป็นคนชอบดูถูกคนอื่น ชอบแสดงอำนาจเหนือกว่าคนทั่วไป บางทีก็อาจเป็นหนุ่มขี้เก๊กด้วยเหมือนกัน

3.ตำแหน่ง 9 นาฬิกาด้วยมีอข้างเดียว

แม้ว่าจะจับด้วยมือข้างเดียวเหมือนข้อ 2 แต่ให้ความหมายแทบจะตรงกันข้าม เพราะหากจับพวงมาลัยลงมาที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา หรือ 3 นาฬิกา ด้วยมือเพียงข้างเดียวบ่อยๆ แสดงว่าคุณเป็นคนชอบความเรียบง่าย ไม่โอ้อวด ชอบแนวคิดง่ายๆ เป็นต้น

4.วางมือ 1 ข้างไว้ที่ก้านพวงมาลัย

การวางมือ 1 ข้างไว้บนก้านพวงมาลัยด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าคุณเป็นคนชอบการผจญภัย ท้าทาย ชอบค้นหาเส้นทางใหม่อยู่บ่อยๆ ไม่เชื่อลองสังเกตคนใกล้ตัวดูสิ

5.จับใต้พวงมาลัยแบบหงายมือขึ้น

การจับบริเวณด้านล่างของพวงมาลัยโดยหงายมือขึ้น แสดงว่าคุณมีความเป็นผู้นำสูง ชอบออกคำสั่ง

6.จับใต้พวงมาลัยแบบคว่ำมือลง

ข้อนี้จะคล้ายกับข้อที่ผ่านมา แต่ใช้วิธีคว่ำมือเข้ากับพวงมาลัย บ่งบอกว่าคุณเป็นคนกระตือรือล้น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความสนใจอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ

7.จับก้านพวงมาลัยด้วยมือทั้ง 2 ข้าง

การขับพวงมาลัยลักษณะนี้ แสดงว่าคุณเป็นคนเรียบๆ นิ่งๆ ไม่ชอบแสดงท่าทีให้มากนัก

8.ไม่จับพวงมาลัยเลย!

คนที่ไม่ชอบจับพวงมาลัย แต่ใช้ขาคอยควบคุมพวงมาลัยแทนนั้น แปลว่าคุณกำลังมโนว่ารถคุณมีระบบขับขี่อัตโนมัติ Autopilot แบบเดียวกับรถ Tesla Model S ใช่ไหมล่ะ

9.จับตำแหน่ง 11 และ 1 นาฬิกาอย่างเต็มฝ่ามือ

การจับพวงมาลัยลักษณะนี้บ่งบอกชัดเจนเลยว่า คุณกำลังอยู่ในภาวะกดดัน มีความกังวล ต้องการไปถึงที่หมายโดยเร็ว เป็นต้น

10.บีบแตรบ่อยๆ

ถ้าพื้นผิวบริเวณแตรรถมีความสึกเป็นพิเศษ เพราะชอบกดแตรบ่อยๆแล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณเป็นคนใจร้อน เกิดบันดาลโทสะอยู่บ่อยๆ จนอาจทำให้เกิดความรุนแรงบนท้องถนนได้ ไม่ดีเอาเสียเลยนะ

สนับสนุนเนื้อหา

ขอขอบคุณ

ภาพ : istockphoto

4 พฤติกรรมต้องห้ามสำหรับรถ ‘เกียร์อัตโนมัติ’ จะหาว่าไม่เตือน!

ปัจจุบันรถยนต์ในบ้านเราส่วนใหญ่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติกันแทบทั้งนั้น เนื่องจากให้ความสะดวกสบายในการขับขี่ท่ามกลางสภาพจราจรอันแสนโหดของเมืองไทย

แม้ว่าปัจจุบันจะมีการพัฒนาระบบเกียร์อัตโนมัติให้มีความทนทานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ หรือ CVT ก็ต่างมีอายุการใช้งานของมันทั้งสิ้น แถมค่าอะไหล่ก็มีราคาแพงมหาโหด จนกลายเป็นที่พูดกันว่าหากต้องเปลี่ยนเกียร์ลูกใหม่ เปลี่ยนรถใหม่ไปเลยดีกว่า

ดังนั้น Sanook! Auto จึงขอเผย 5 พฤติกรรมต้องห้ามสำหรับรถยนต์ ‘เกียร์อัตโนมัติ’ ที่จะช่วยบั่นทอนอายุการใช้งานโดยไม่รู้ตัว มีอะไรบ้าง?

1.เร่งเครื่องแล้วจึงใส่เกียร์ D

ใครที่เป็นสายซิ่งอาจทำพฤติกรรมเช่นนี้บ่อย นั่นคือ การเร่งเครื่องยนต์รอ แล้วจึงใส่เกียร์ D เพื่อให้รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้ชุดเกียร์และเพลาขับเกิดความเสียหายได้ในระยะยาว แม้แต่รถแรงๆ ที่มีระบบ Launch Control ก็ไม่ควรทำบ่อย เพราะเป็นการบั่นทอนอายุการใช้งานของระบบเกียร์อย่างมาก

2.คิกดาวน์บ่อย

การคิกดาวน์คือการเหยียบคันเร่งจมมิด (หรือเกือบจะจมมิด) เพื่อให้เกียร์เปลี่ยนอัตราทดต่ำลง เหมาะสำหรับใช้ในการเร่งแซง แต่การคิกดาวน์บ่อยจะทำให้ชุดเกียร์ต้องรับแรงบิดกะทันหัน นานๆ เข้าจะส่งผลให้อายุการใช้งานเกียร์สั้นลงได้เช่นกัน

ทางที่ดีควรเร่งแซงเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น (เช่น การแซงบนถนนเลนสวน) หากเป็นถนนที่มีหลายเลน ก็ให้ใช้วิธีค่อยๆ เพิ่มความเร็ว จะช่วยยืดอายุการใช้งานชุดเกียร์ได้

3.ปล่อยไหลใส่เกียร์ N

หลายคนที่เคยขับเกียร์ธรรมดามาก่อน อาจเคยชินกับการเข้าเกียร์ว่าง (N) แล้วปล่อยให้รถไหลจนกระทั่งหยุดนิ่ง แต่สำหรับเกียร์อัตโนมัติแล้วถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดมหันต์! เนื่องจากชุดเกียร์ประกอบไปด้วยฟันเฟืองที่หมุนขบกันไปมาตลอดเวลา จำเป็นต้องใช้น้ำมันเกียร์ในการหล่อลื่น แต่เมื่อผลักคันเกียร์ไปยังตำแหน่ง N จะทำให้ปั๊มน้ำมันเกียร์ไม่วนขึ้นมาหล่อลื่น ส่งผลให้เกิดความร้อนมากกว่าปกติ และอาจทำให้ฟันเฟืองต่างๆเกิดความเสียหายได้ในระยะยาว

4.ลากรถแบบล้อหมุน

การลากรถเกียร์อัตโนมัติควรยกล้อคู่ที่ใช้สำหรับขับเคลื่อนขึ้นให้ลอยเหนือพื้น เนื่องจากการลากรถส่วนมากมักไม่ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ จะทำให้ปั๊มน้ำมันเกียร์ไม่ทำงาน ส่งผลให้ชุดเฟืองภายในห้องเกียร์เกิดการเสียดสีรุนแรง และทำให้ความร้อนสูง ซึ่งหากลากเป็นระยะทางยาวๆ รับรองเกียร์กลับบ้านเก่าแน่นอน

แต่หากมีความจำเป็นต้องลากจริงๆ ก็ควรใช้ความเร็วในน้อยที่สุดราว 20-30 กม./ชม. เพื่อไปยังอู่ใกล้เคียง ทั้งนี้ หากเป็นการเข็นรถที่จอดขวางในที่จอดรถถือว่าไม่เป็นไร เพราะเป็นการเข็นด้วยระยะทางสั้นๆ เท่านั้น

สนับสนุนเนื้อหา

check-credit