เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

Author: admin

วิธีซ่อมกระจกรถยนต์ ที่ถูกหินดีดง่ายๆด้วยตัวเอง

เพื่อนๆหลายคนคงเคยประสบปัญหาในการถูกหินดีดเข้ากระจกหน้ากันบ่อยๆใช่ไหมครับ แน่นอนว่าหินเหล่านั้นมันมักจะทิ้งร่องรอยที่ทำร้ายจิตใจเราไว้เสมอ ซึ่งร่องรอยของมันก็มีตั้งแต่เล็กจิ๋ว ไปจนเท่าลูกปิงปองเลยก็มีครับ ซึ่งรอยแผลดังกล่าวก็จะติดตัวลูกรักของเพื่อนๆไปตลอด จนกว่าจะไปเสียเงินซ่อมมัน

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. แอลกอฮอล
2. มีดโกนรุ่นเก่า หรือ คัตเตอร์
3. สก๊อตเทปใส
4. กาวตราช้าง
5. กระดาษทรายขัดเหล็ก (กระดาษทรายน้ำ) เบอร์ 1000-1500
6. น้ำเปล่า
7. น้ำยาขัดสีรถยนต์ (คนละชนิดกับน้ำยาเคลือบสีนะครับ)
8. ถ้ามีเครื่องเป่าลมก็จะดีมากใช้ที่เป่าลมทำความสะอาดกล้องถ่ายรูปก็ได้ ถ้าไม่มีก็ต้องใช้ปากเป่าล่ะครับ

วิธีซ่อมกระจกรถยนต์ ที่ถูกหินดีด

1. ใช้เครื่องเป่าลมที่เตรียมไว้ เป่าเข้าไปในรอยแตกของกระจกที่เราต้องการซ่อมแซมครับ เพื่อไล่ฝุ่นละอองต่างๆออก หากใช้ปากเป่าให้เป่าแรงๆนะครับ

2. ใช้แอลกอฮอล์ เช็ดลงบริเวณที่เป็นรอยแตก เพื่อล้างคราบไขต่างๆ

3. ใช้สก๊อตเทปใสที่เตรียมไว้ แปะรอบๆรูที่จะทำการซ่อมแซม

4. นำกาวตราช้าง มาหยอดลงไปในรู โดยหยอดให้มันล้นออกมาจากรูเล็กน้อย ถ้าดูด้านข้างจะเห็นว่ามันนูนๆ จากนั้นรอให้แห้ง โดยห้ามยุ่งกะมันเด็ดขาดนะครับ

5. ใช้มีดโกน ปาดกาวตราช้างส่วนที่มันแข็งๆเกินๆ ออกไปให้เรียบเสมอกระจก

6. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1000 จุ่มน้ำ แล้วขัดเบริเวณรอบๆรู เบาๆ อย่าให้เลย เขตเส้นของเทป ตามด้วยเบอร์ 1500 ตอนขัดนี่ขอให้ปราณีตที่สุด ค่อยๆ เบาๆ ไม่งั้นกระจกส่วนอื่นอาจจะเป็นรอยได้ จากนั้นลอกเทปใสออก

7. นำยาขัดสี มาขัดบริเวณนั้น ควรขัดให้เนื้อกระจกดูเรียบเท่ากันกับเนื้อเดิม ยาขัดสีจะมีคุณสมบัติเหมือนกระดาษทรายเบอร์ 2000 แต่ในกรณีที่ไม่มีทั้งกระดาษทราย และยาขัดสี ก็ไม่ต้องขัดเลยครับ ถ้าหยอดกาวดีๆ แทบไม่ต้องขูดกาวออกด้วยซ้ำ

7 ขั้นตอนง่ายๆแค่นี้ หากทำอย่างถูกวิธี ล่องรอยที่เคยทำร้ายจิตใจเพื่อนๆก็แทบจะมองไม่เห็นอีกเลย จะให้ดียิ่งขึ้นก็ซื้อน้ำยาประเภท clear view มาเคลือบกระจกอีกหนึ่งครั้ง ส่วนเรื่องที่ว่ากาวจะอยู่นานขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับการซ่อมและการใช้งานครับ โดยอายุของกาวมีตั้งแต่ 1 อาทิตย์ ไปจนถึงครึ่งปี

แหล่งที่มา: https://www.thaicarlover.com/วิธีซ่อมกระจกรถยนต์/46587

ดูดวงเวลาที่เป็นมงคลสำหรับการออกรถ

ดูดวงการพิจารณาหาวันที่ดีและเหมาะสมนั้น(วันมงคล) ก็คือ ห้ามใช้ฤกษ์ที่เป็นวันกาลกิณีกับวันเกิดของเจ้าของรถอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีหลักพิจารณา ดังนี้

ดูดวงคนเกิดวันอาทิตย์

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันศุกร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันจันทร์

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันอาทิตย์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันอังคาร

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันจันทร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันพุธ(กลางวัน)

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันอังคาร ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันพุธ(กลางคืน)

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันเสาร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันพฤหัสบดี

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันเสาร์ ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันศุกร์

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันพุธ(กลางคืน) ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงคนเกิดวันเสาร์

  • ห้ามใช้ฤกษ์วันพุธ(กลางวัน) ต่อให้ฤกษ์ดีอย่างไรก็ไร้ผล ควรหลีกเลี่ยง

ดูดวงเวลาที่เป็นมงคลในแต่ละวัน เวลาที่ควนนำรถออกจากอู่หรือเต้นซ์ ในแต่ละวันมีดังนี้

ดูดวงวันอาทิตย์ ควรนำรถออกเวลา 06.09-08.39 น. (ฤกษ์ดีมาก) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.39-15.09 น. (ให้โชคลาภ)

ดูดวงวันจันทร์ ควรนำรถออกเวลา 09.19-10.05 น. (ฤกษ์ดี) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 16.19-17.59 น. (ให้ลาภและมีเสน่ห์)

ดูดวงวันอังคาร ควรนำรถออกเวลา 11.09-12.59 น. (ฤกษ์ใช้ได้) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 06.39-08-29 น. (ช่วงเวลานี้พอใช้ได้)

ดูดวงวันพุธ ควรนำรถออกเวลา 08.49-10.59 น. (ฤกษ์ปานกลาง) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.09-15.29 น. (มีโอกาสได้ลาภ)

ดูดวงวันพฤหัสบดี ควรนำรถออกเวลา 10.39-11.09 น. (มีโชคลาภ) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 17.09-17.59 น. (ฤกษ์ปลอดภัย)

ดูดวงวันศุกร์ ควรนำรถออกเวลา 06.39-08.59 น. (ฤกษ์ดีมาก) และอีกช่วงหนึ่งเวลา 13.39-14.59 น. (ให้โชคลาภ)

ดูดวงวันเสาร์ ตามหลกโหราศาสตร์ ถือเป็นวันดุ หรือวันแรงโบราณ ท่านว่าห้ามนำรถ หรือยานพาหนะออกจากเต้นท์ หรือจากอู่อย่างเด็ดขาด ควรหลีกเลี่ยง

แหล่งที่มา: ยอดทิพย์.คอม ขอบคุณภาพประกอบ : Getty Images

เจิมรถใหม่ ให้สิริมงคล ต้องมีอะไรบ้าง!!

เตรียมของเจิมรถ

ออกรถใหม่แบบไทยๆ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องไปเจิมรถเพื่อความสิริมงคลกันก่อนเป็นอันดับแรก แต่ของที่ใช้สำหรับพิธีเจิมรถนั้นมีอะไรบ้าง ต้องใช้อะไรถึงจะช่วยเสริมสิริมงคล วันนี้มาเตรียมความพร้อมก่อนการเจิมรถกันครับ ซึ่งของที่เราต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้….

ของที่ต้องเตรียมใช้สำหรับพิธี เจิมรถใหม่

1.เน้นของเป็นคู่ เช่น ธูป 5 คู่ เทียน 5 คู่ วางบนพานพิธี หากไม่มีพานสามารถใช้ถาดกลมหรือจานขนาดใหญ่แทนได้

2.วางพวงมาลัยดอกไม้ 1 พวงบนพานทำพิธีที่มีธูป 5 คู่ เทียน 5 คู่

3.น้ำอบและแป้งดินสอพอง สิ่งสำคัญที่ใช้เจิมรถในส่วนต่างๆ

4.แผ่นทองคำเปลว เพื่อเสริมความเจริญรุ่งเรือง พานพบแต่สิ่งดีๆ

5.ซองปัจจัยสำหรับถวายพระผู้ทำพิธี อันนี้แล้วแต่จิตศรัทธา ไม่มีการกำหนดปัจจัย ถือเป็นการเริ่มต้นทำสิ่งดีๆ

6.เพิ่มเติมในส่วนของชุดถวายสังฆทาน บางคนเจิมรถเสร็จแล้วอาจจะอยากทำบุญต่อ เตรียมดอกไม้ธูปเทียนไปสำหรับส่วนนี้ด้วย

แหล่งที่มา: https://www.kmotors.co.th/

ไหว้แม่ย่านางรถอย่างถูกวิธี ทำอย่างไร เตรียมของไหว้อะไรบ้าง

การไหว้แม่ย่านางรถ เป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลานาน โดยเชื่อกันว่าแม่ย่านางเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองยานพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถไฟ เรือ หรือเครื่องบิน ให้เดินทางได้อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย หรือเสริมโชคลาภ สิริมงคล ให้แก่เจ้าของรถ วันนี้ masii จึงมีวิธีไหว้แม่ย่านางรถมาฝากกัน ไปดูกันสิว่า ไหว้แม่ย่านางรถ ทำอย่างไร และจะมีบทไหว้ ของไหว้ หรือฤกษ์ไหว้แม่ย่านางรถวันใดบ้าง

ไหว้แม่ย่านางรถอย่างถูกวิธี ทำอย่างไร เตรียมของไหว้อะไรบ้าง อย่างที่มาสิกล่าวไปข้างต้นว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความเชื่อเกี่ยวกับการไหว้แม่ย่านางรถ เพราะเชื่อว่าช่วยให้เดินทางอย่างปลอดภัย ราบรื่น รวมถึงยังช่วยเสริมโชคลาภ และความเป็นสิริมงคลให้แก่เจ้าของรถ ดังนั้นในแต่ละปีก็จะมีการไหว้แม่ย่านางรถอยู่เป็นประจำ ซึ่งมีวิธีไหว้แม่ย่านางรถ และ การเตรียมของไหว้แม่ย่านางรถ ดังนี้

วิธีไหว้แม่ย่านางรถ ทำวันไหน เวลาใด

คนส่วนใหญ่นิยมไหว้แม่ย่านางรถในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันพญาวัน หรือ วันที่ 15 เมษายน ซึ่งนับเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตามโบราณ หรือบางคนอาจนิยมไปไหว้แม่ย่านางรถในช่วงเทศกาลตรุษจีน แต่หากไม่สะดวกวันดังกล่าว ก็ถือฤกษ์ตามสะดวก  โดยรถยนต์ รถจักรยานยนต์ นิยมไหว้แม่ย่านางรถกันปีละครั้ง แต่หากเป็นรถใหญ่ หรือผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถ เช่น รถตู้ รถทัวร์ รถบรรทุก หรือรถสิบล้อ ควรไหว้ปีละ 2 ครั้ง โดยเวลาไหว้แม่ย่านางรถ มักเป็นช่วงเช้า เวลาประมาณ 07.09 น. เป็นต้นไป แต่ไม่เกิน 10.09 น.

ของไหว้แม่ย่านางรถ ต้องใช้อะไรบ้าง

  • ธูป 9 ดอก
  • ข้าวสวย 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1 แก้ว (ขวดใหม่)
  • หมากและพลู และยาเส้นสีฟัน 3 คำ
  • ยาสูบ 3 มวน
  • ผลไม้ไหว้แม่ย่านางรถ หรือ ผลไม้มงคล 5 อย่าง

ผลไม้ไหว้แม่ย่านางรถ มีอะไรบ้าง

ผลไม้ที่ไหว้แม่ย่านางรถ หรือ ผลไม้มงคล โดยผลไม้แต่ละชนิดมีความหมายที่ดีซ่อนอยู่ ดังนี้

  • กล้วยน้ำว้าสุก 2 หวี : สัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล
  • สับปะรด : เรียกโชคลาภ เงินทอง
  • แก้วมังกร : ความอุดมสมบูรณ์ ร่ำรวย
  • ทับทิม : ความสามัคคี ครอบครัวอบอุ่น ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
  • แอปเปิลแดง : สุขภาพแข็งแรง ปัดป่าโรคภัยไข้เจ็บ

หรือหากไม่มีผลไม้ดังกล่าว อาจเลือกเป็นผลไม้มงคลอื่นๆ เช่น ส้ม สาลี่ ชมพู่ องุ่น มะพร้าว เป็นต้น

คำถวายของไหว้แม่ย่านางรถ

หลังจากจัดวางของไหว้แม่ย่านางรถที่หน้ารถยนต์เรียบร้อยแล้ว ให้ไปสตาร์ทรถ พร้อมบีบแตร 3 ครั้ง จากนั้นจุดธูป 9 ดอก และกล่าวคำถวายของไหว้แม่ย่านางรถ ดังนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (3 จบ)

สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ

ทุติยัมปิ สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ

ตะติยัม สุทินนัง วัตถุทานัง อาสะวะ ขะยาวะหัง โหตุ

ลูกขอถวายสิ่งของเหล่านี้แก่แม่ย่านางรถ ขอท่านจงรับซึ่งสิ่งของเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ และความสุขแก่ลูกทั้งหลายเทอญ สาธุ

เมื่อกล่าวคำถวายของไหว้แม่ย่านางรถจบแล้ว ให้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ขับขี่ปลอดภัย แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง ขอให้คนที่นั่งรถมีแต่ความสุข ความเจริญ มีโชคลาภ มีเงินทองไหลมาเทมา จากนั้นรอประมาณ 20-30 นาที หรือรอให้ธูปหมดแล้วจึงกล่าวคำลาของไหว้แม่ย่านางรถ

คำลาของไหว้แม่ย่านางรถ

หลังจากธูปหมดดอกแล้ว ให้กล่าวคำลาของไหว้เพื่อนำของไหว้มาทานเป็นสิริมงคล โดยมีคำกล่าวดังนี้

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ  (3 จบ)

พุทธังลา ธัมมังลา สังฆังลา ข้าพเจ้าขอลาสิ่งของเหล่านี้ เพื่อให้เป็นทานต่อไป และเพื่อเป็นยารักษาโรค อย่าให้เกิดโทษใดๆ เลย

นะ เสสัง มังคะลา ยาจามะ

หลังจากกล่าวคำลาของไหว้แม่ย่านางรถแล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี และนิยมนำของไหว้ไปรับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล

และนี่ก็คือ วิธีไหว้แม่ย่านางรถ ที่มาสินำมาฝากกัน หากใครที่ต้องการไหว้แม่ย่านางรถ บูชาแม่ย่านางรถ ก็สามารถทำตามวิธีที่เรานำมาฝากกันได้ แต่อย่างไรก็ตามอย่าลืมขับรถอย่างปลอดภัย ไม่ประมาท เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ และเพื่อความอุ่นใจ เพื่อนๆ สามารถ คลิกที่นี่ เพื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์กับเว็บไซต์มาสิได้เลยค่ะ

แหล่งที่มา: https://masii.co.th

“รู้หรือไม่? ไส้กรอง ในรถยนต์มีอยู่กี่ประเภท อยู่ตรงไหน แล้วมีหน้าที่อะไรบ้าง”

คนใช้รถมักจะได้ยินเรื่องของการเปลี่ยน ไส้กรอง ตามระยะ เดี๋ยวเปลี่ยนไส้กรองนั้น เดี๋ยวเปลี่ยนไส้กรองนี้ งั้นเรามารู้กันไปเลยดีกว่าว่าในรถยนต์ นั้นมีไส้กรองอยู่กี่ชนิดกันแน่

ไส้กรอง Filter ในรถยนต์ มีอยู่ 5 ชนิด

1. ไส้กรองน้ำมันเครื่อง (Oil Filter)

ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่หลักเป็นตัวกรองและดักจับเศษชิ้นส่วนที่เกิดจากการเสียดสีของเครื่องยนต์ และสิ่งสกปรกย้อนกลับเข้าสู่ตัวเครื่องยนต์ ซึ่งจะส่งผลให้เกินความเสียหายตามมา ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือตามระยะเปลี่ยนถ่ายที่เหมาะสมเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ ซึ่งโดยปกติไส้กรองจะอยู่ติดกับตัวเครื่องยนต์ แต่จะอยู่ตำแหน่งไหนขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถ ทางที่ดีควรให้ช่างผู้ทำงานเปลี่ยนจะดีกว่า

2. ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Filter)

ไส้กรอง เชื้อเพลิงจะมีหน้าที่ในการดักจับสิ่งสกปรกและสิ่งปลอมปนที่มากับน้ำมัน การหมั่นตรวจสอบสภาพไส้กรองเชื้อเพลิงจะช่วยรักษาสมรรถนะและประสิทธิกาพของเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมเสมอ ดังนั้นหากทิ้งไว้นานจนไส้กรองน้ำมันเครื่องอุดตัน เครื่องยนต์จะมีอาการสะดุดกำลังตก เร่งไม่ขึ้น เนื่องจากแรงดันตก ส่งผลให้การจ่ายน้ำมันไม่สม่ำเสมอ เชื้อเพลิงจึงถูกส่งไปยังเครี่องยนต์ ได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น FIT Auto แนะนำ ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงเชื่อเพลิงอย่างน้อยปีละครั้ง

3. ไส้กรองน้ำมันเกียร์ (Gearbox Oil Filter)

ไส้กรองน้ำมันเกียร์ทำหน้าที่คล้ายๆ ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ช่วยกรองสิ่งสกปกในน้ำมันเกียร์ แต่โดยปกติน้ำมันเกียร์แทบจะไม่โดนสิ่งสกปรกอยู่แล้ว ดังนั้นควรมีการตรวจเช็คสภาพไส้กรองน้ำมันเกียธ์ควบคู่ไปกับน้ำมันเกียร์ตามระยะอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานของเกียร์อัตโนมัตินั้นแผ่นผ้าคลัทจะสึกหรอ ปะปนไปกับสิ่งสกปรกในน้ำมันเกียร์ จะก่อให้เกิดการอุดตันและส่งผลเสียต่อระบบเกียร์ได้

4. ไส้กรองอากาศ (Air Filter)

ไส้กรองอากาศช่วยกรองอากาศก่อนเข้าสู่กระบวนการสันดาปของเครื่องยนต์ จะอยู่ในห้องเครื่อง วิธีเปลี่ยนไม่ยากแค่ปลดสลักกล่องไส้กรอง แล้วดึงไส้กรองออกมาก็สามารถเปลี่ยนเองได้เลย ส่วนวิธีการสังเกตเมื่อไส้กรองสกปรกก็มีง่ายๆ ดังนี้

  • เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น
  • เครื่องยนต์สั่น
  • ซดน้ำมันมากกว่าปกติ
  • มีควันดำจากท่อไอเสีย

5. ไส้กรองแอร์ (Cabin Air Filter)

ไส้กรองแอร์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญ เนื่องจาก จะส่งผลต่อสุขภาพของผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยตรง ทั้งนี้ไส้กรองแอร์จะช่วยดักจับฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ในอากาศที่เข้ามาจับสะสมอยู่ที่คอยล์เย็น หากมีการสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อโรคเป็นเวลานาน นอกจากจะเป็นแหล่งพาหะของเชื้ออโรคชนิดต่างๆแล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดการกัดกร่อนที่แผงคอยล์เย็นจนทำให้เกิดรูรั่วได้ ซึ่งจะเป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็นจากแอร์ แอร์ไม่เย็น

ถึง ไส้กรอง บางประเภทจะเปลี่ยนเองได้ไม่ยาก แต่อย่าลืมว่าการเอารถเข้าเช็คระยะอยู่เสมอ ช่างจะช่วยเช็คความสมบูรณ์ส่วนอื่นๆ ของรถไปด้วย ดงันั้น FIT Auto แนะนำให้เข้าตรวจเช็คไส้กรองตามระยะดังนี้

แหล่งที่มา: https://auto.mthai.com/

ถอยรถใหม่ต้องรู้กฎการใช้ป้ายแดง 4 ข้อ

เปิด 4 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้รถป้ายแดง และวิธีในการสังเกตป้ายแดงปลอม

กฎเหล็กรถป้ายแดงมีอะไรบ้าง?

1.รถใหม่ใช้ป้ายแดงได้ 30 วัน

สำหรับใครที่ถอยรถป้ายแดงมาใหม่เอี่ยม สิ่งที่คุณควรรู้คือ รถป้ายแดงของคุณมีระยะเวลาการใช้งานได้เพียง 30 วันเท่านั้น ตามระยะเวลาในการรอป้าย ส่วนใหญ่จะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน หากคุณมีพฤติกรรมใช้รถป้ายแดงเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จะมีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีและยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจร (พรบ.) ที่กำหนดไว้ว่า ให้รถใหม่สามารถใส่ป้ายทะเบียนสีแดงได้เพียง 30 วันเท่านั้น และมีโทษปรับจากการใช้ป้ายแดงเกินระยะเวลาที่กำหนด อยู่ที่ 10,000 บาท

2.ลงบันทึกการใช้รถในสมุดคู่มือทุกครั้ง

สำหรับคนที่ออกรถใหม่ป้ายแดง จะได้รับสมุดบันทึกหรือคู่มือทะเบียนรถยนต์ มาด้วย ซึ่งคู่มือเล่มนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากกฎหมายจราจรมาตรา 28 (ในการขับรถยนต์มาตรา 27) ระบุไว้ว่า ผู้ขับขี่จะต้องบันทึกรายการการใช้รถลงในสมุดคู่มือเสมอ ข้อมูลดังกล่าวได้แก่ ชื่อรถ หมายเลขตัวรถ หมายเลขเครื่องยนต์ของรถ / ความประสงค์ในการขับรถยนต์ / วันเดือนปี และควรระบุระยะเวลาที่นำรถออกไปใช้ จนถึงระยะเวลาที่รถถึงจุดหมายปลายทาง / ชื่อ – นามสกุลผู้ขับ

ในกรณีที่ทำสมุดคู่มือรถยนต์หาย สามารถดำเนินการขอใหม่ได้ที่กรมขนส่ง ส่วนใครที่มีรถใหม่และมักจะลืมลงบันทึกการใช้งานรถ วันไหนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสอบจะมีความความผิดฐานไม่ลงบันทึกการใช้รถและมีโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,000 บาท

3.ใช้รถป้ายแดงตอนกลางคืนไม่ได้

กฎหมายจราจรได้มีการระบุไว้ว่า รถป้ายแดงสามารถใช้งานได้ในช่วงระยะเวลา ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น – พระอาทิตย์ตก (06.00-18.00 น.) เท่านั้น แต่เนื่องจากจราจรที่ติดขัดอย่างมากในปัจจุบันทำให้มีการขยายเวลาไปจนถึง 20.00 น.

4. ค่าเบี้ย พ.ร.บ. เริ่มต้นหลักร้อย

หากคุณเพิ่งออกรถใหม่และยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนป้ายทะเบียน หรือยังรอป้ายทะเบียนใหม่จากกรมขนส่งอยู่ การขับรถข้ามเขต หรือการขับรถออกนอกจังหวัด ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายได้ระบุไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า รถป้ายแดงสามารถใช้งานได้ภายในเขตจังหวัดที่ระบุอยู่บนป้ายทะเบียนเท่านั้น เช่น ป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ ก็สามารถใช้งานได้แค่ภายในจังหวัดกรุงเทพฯเท่านั้น หากคุณมีความจำเป็นต้องใช้รถนอกเขต ก็คุณจะต้องได้รับการอนุญาตจากนายทะเบียน และมีหลักฐานเป็นเอกสารพร้อมลายเซ็นของนายทะเบียน รวมถึงต้องลงบันทึกการใช้รถยนต์ในคู่มือรถยนต์อย่างละเอียด จึงจะสามารถขับรถออกนอกเขตที่จดทะเบียนได้ ในกรณีที่ คุณลืมทำเรื่องขอใช้รถยนต์นอกเขตจดทะเบียน และไม่ใส่ใจลงบันทึกการใช้รถอย่างละเอียด หากโชคร้ายไปเจอด่านตรวจแล้วไม่มีเอกสารดังกล่าวแสดงแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมีโทษปรับสูงสุดถึง  10,000 บาท

วิธีสังเกตป้ายแดงปลอม

สำหรับมือใหม่บางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่าป้ายแดงปลอมนั้นดูอย่างไร ถ้าเป็นของแท้ท่านต้องเสียเงินค่ามัดจำป้าย 3,000 บาท หากเป็นของปลอมไม่ควรถูกเรียกเก็บเงินส่วนนี้ สำหรับป้ายแดงของแท้ต้องมีตรา ขส ตรงมุมล่างขวา พร้อมกับสมุดคลุมป้ายแดงที่เป็นการบอกว่าเป็นป้ายที่กรมการขนส่งทางบกออกให้กับศูนย์รถต่างๆ เพื่อใช้ชั่วคราวระหว่างรอป้ายขาว

สำหรับสีแดงของป้ายแดงปลอมจะไม่มีเกล็ดสะท้อนแสงหรือไม่บางทีอาจสีซีดไม่แดงสด ส่วนความหนาของป้ายก็สังเกตได้จากป้ายแดงปลอมจะบางมากๆ อย่างเห็นได้ชัด

แหล่งที่มา: www.pptvhd36.com/

12 เรื่องที่คนใช้รถต้องรู้เกี่ยวกับ พ.ร.บ.

ไม่ว่าคุณจะขับรถมอเตอร์ไซค์ หรือขับรถยนต์ เราจะต้องมีประกันภัยภาคบังคับ พ.ร.บ. หรือที่มีชื่อเต็มยาว ๆ ว่า ประกันภัยรถตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำเป็นประจำทุกปี หลังจากวันที่ 1 เมษายน 2563 สมาคมประกันวินาศภัยไทยร่วมกับสำนักงาน คปภ. ปรับเพิ่มความคุ้มครองประกันภัย พ.ร.บ. เพิ่มวงเงินคุ้มครองสูงสุดกรณีเสียชีวิตจาก 300,000 บาทเป็น 500,000 บาท

“พ.ร.บ. เป็นประกันภัยภาคบังคับที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องมีไว้
คุ้มครองต่อความสูญเสียของชีวิต ร่างกายและผู้ประสบภัยจากรถ”

อาจจะเกิดความสงสัยว่า เราต่อ พ.ร.บ. ทุก ๆ ปีมีอะไรที่เราต้องรู้บ้างนะ ? กับ 12 เรื่องที่คนใช้รถต้องรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ. รถเอาไว้ และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาทำความเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับพ.ร.บ.รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่น้องสมหวัง สรุปไว้ได้เลยครับผม

1. ต้องต่อพ.ร.บ. ทุกปีห้ามขาด!!

พ.ร.บ. รถยนต์ และพ.ร.บ.จักรยานยนต์เป็นประกันภาคบังคับมีอายุ 1 ปี ซึ่งเราจะต้องต่อทุกปีมิให้ขาด เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นครับ ในเอกสารพ.ร.บ. จะระบุข้อมูล “ระยะเวลาเอาประกันภัย” เอาไว้ชัดเจนครับ

2. ไม่ต่อพ.ร.บ. เราจะต่อภาษีรถไม่ได้

เนื่องจาก พ.ร.บ. เป็นเอกสารสำคัญในการต่อภาษีรถยนต์และภาษีรถมอเตอร์ไซค์ เราจะต้องต่อพ.ร.บ. ก่อนต่อภาษี ดังนั้น ถ้าเราไม่ต่อพ.ร.บ.ให้เสร็จสรรพก็จะไม่สามารถต่อภาษีได้นั้นเอง !!

  • หากรถยนต์หรือมอไซค์ที่ไม่ได้เสียภาษีตามเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับเดือนละ 1% พร้อมกับชำระภาษีย้อนหลังด้วยนะจ้ะ
  • กรณีขาดต่อภาษีรถนานเกิน 3 ปี รถของเราจะถูกระงับป้ายทะเบียน กลายเป็นรถเถื่อนที่อาจจะถูกจับปรับดำเนินคดีตามกฎหมายนะครับ

3. พ.ร.บ. ขาดต่อ อาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับปรับ

ถ้าเราลืมต่อพ.ร.บ. แต่หากนำรถยนต์หรือรถมอไซค์แบบไม่มี พ.ร.บ. มาขับขี่บนท้องถนน เมื่อถูกตรวจจะอาจจะถูกลงโทษตามกฎหมาย เสียค่าปรับไม่เกิน 10,000 บาทล่ะครับ ดังนั้น จะให้ดีอย่าปล่อยให้รถของเราขาดต่อพ.ร.บ. เด็ดขาดนะครับ

4. ค่าเบี้ย พ.ร.บ. เริ่มต้นหลักร้อย

เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพ.ร.บ. การเตรียมเงินก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ไว้เบื้องต้น และน้องสมหวังก็เตรียมไว้ให้แล้วครับผม ทั้งนี้ น้องสมหวังขออ้างอิงข้อมูล อัตราเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ. จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) 

5. พ.ร.บ.คุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชนรถ

กรณีบาดเจ็บจากรถชนหรืออุบัติเหตุ พ.ร.บ.จะเทคแคร์ทันที!! ให้สอบถามแจ้งสิทธิกับโรงพยาบาลครับ พร้อมกับแจ้งเหตุที่เกิดขึ้น เตรียมเอกสารพ.ร.บ. และบัตรประชาชนของคนเจ็บใช้ยื่นประกอบด้วย โดยความคุ้มครองพ.ร.บ.จะจ่ายตามจริง ! ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้

กรณีเกิดอุบัติเหตุและสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนหน้านี้ เราสามารถเคลมย้อนหลังได้ภายใน 180 วัน ต้องใช้เอกสาร ดังนี้

  • เอกสารค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล หรือใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล และอย่าลืมใบรับรองแพทย์
  • เอกสารหน้าตาราง พ.ร.บ. ใช้ยื่นเคลมค่ารักษาย้อนหลัง
  • เอกสารอื่น ๆ กรณีบริษัทร้องขอเพิ่มเติม เช่น บันทึกประจำวันจากตำรวจ, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาใบขับขี่, สำเนาทะเบียนรถ (ถ้ามี)

สามารถประสานงานส่งเอกสารกับบริษัท ประกันภัยที่เราซื้อ พ.ร.บ. เพื่อขอเบิกค่ารักษาพยาบาล ในเงื่อนไขดังกล่าว เราพูดถึงรายละเอียดการเคลมกรณีบาดเจ็บผู้ป่วยนอก (OPD) นะครับ 

6. เคลมรักษาได้ทันทีแบบไม่ต้องสำรองจ่าย*

การใช้สิทธิขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น เราสามารถเบิกได้ที่โรงพยาบาล โดยเคลมค่ารักษาพยาบาลได้ภายในวงเงินไม่เกิน 30,000 บาททุกกรณี (จ่ายค่ารักษาตามจริง) แต่ต้องเตรียมเอกสารให้ครบก่อนเคลมนะ

7. จะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็เคลมพ.ร.บ.ได้

เพราะ พ.ร.บ.ให้ความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งจะดูแลค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิด โดยไม่รอการพิสูจน์ความรับผิด

  • กรณีบาดเจ็บ พ.ร.บ. จะจ่ายค่ารักษาพยาบาล ตามจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน
  • กรณีสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร พ.ร.บ. คุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้น จำนวน 35,000 บาทต่อคน
  • กรณีเสียชีวิต คุ้มครองจ่ายค่าปลงศพ  ตามจำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาทต่อคน

หากเกิดความเสียหาย หลายกรณีรวมกัน จะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อหนึ่งคนครับ

หลังจากพิสูจน์ถูกผิดแล้ว กรณีเป็นฝ่ายถูกจะได้รับส่วนค่าสินไหมทดแทน (ส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น) เพิ่มเติม โดยมีความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ดังนี้

  • กรณีบาดเจ็บ พ.ร.บ. จะคุ้มครองค่ารักษาตามจริง ไม่เกิน 80,000 บาทต่อคน
  • กรณีสูญเสียอวัยวะ/ทุพพลภาพอย่างถาวร 200,000 – 500,000 บาทต่อคน (กรณีสูญเสียอวัยวะเป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) ซึ่งจะมีข้อมูลแตกต่างกันนะครับ
  • กรณี เสียชีวิต ค่าสินไหมทดแทน 500,000 บาทต่อคน

8. เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณีก็เคลมค่ารักษาพยาบาลกับพ.ร.บ.ได้

รู้ไหมว่า พ.ร.บ. เช่น รถล้มเอง ชนเสาไฟฟ้า ลื่นไถล อุบัติเหตุที่เกิดบนท้องถนนสามารถเคลมค่ารักษาพยาบาลกับพ.ร.บ.ได้ครับ โดยขั้นตอนการเคลมก็เหมือนกันกับขั้นตอนที่เราเล่ามาข้างต้นเลยล่ะ

9. พ.ร.บ. ไม่ใช่ป้ายวงกลม แต่เป็นเอกสาร

อาจจะมีสับสนอยู่บ้างระหว่าง พ.ร.บ. และป้ายภาษี (ป้ายวงกลม ป้ายสีเหลี่ยม ฯลฯ) น้องสมหวังต้องบอกว่าเอกสารพ.ร.บ. นั้นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นกระดาษขนาด A4 ครับผม ไม่ใช่ป้ายวงกลมที่ติดบนกระจกรถยนต์ หรือที่ติดบนรถมอเตอร์ไซค์นะครับ นั่นเรียกป้ายภาษี อย่าจำสลับกันนะจ้ะ

10. จะให้สะดวกต้องทำพ.ร.บ. บริษัทฯ เดียวกับประกันภัยรถ

พูดถึงคนขับรถยนต์ หรือคนขับมอเตอร์ไซค์ที่ซื้อประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติม ถ้าต้องการทำพ.ร.บ. ใช้ต่อภาษีรถจะให้ดี เราควรจะซื้อพ.ร.บ. บริษัทเดียวกับประกันภัยรถยนต์ เพื่อให้ง่ายต่อการเคลมหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้นจะได้ประสานงานเคลมทีเดียว จะได้ไม่ต้องยุ่งยากแจ้งเคลมหลายรอบนั้นเอง ยื่นเอกสารเพียงรอบเดียวก็เพียงพอครับ

11. เราสามารถต่อพ.ร.บ. ล่วงหน้าได้

ถ้าเรากลัวว่าจะขาดต่อพ.ร.บ. เพราะไม่มีเวลา หรือกลัวลืม!! เราสามารถต่อล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน หรือ ภายใน 90 วันครับผม สะดวกสบายสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ดังนั้น ใครที่ยุ่ง ๆ งานรัดตัวตลอดเวลาก็ต่อไว้ล่วงหน้าสบายใจกว่าเยอะ

12. พ.ร.บ. ไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถ

ถึงจะคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ พ.ร.บ. เนี้ยะไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถ หรือค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดจากอุบัติเหตุรถชนรถ หรือรถชนคนนะครับผม

  • ประกันรถจักรยานยนต์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นประกันจะช่วยดูแล

เป็นไงบ้างครับ ? ทำรู้จัก พ.ร.บ. มากขึ้นแล้วว่าจ่ายทุกปีคุ้มครองอะไรบ้าง ดังนั้น อย่าลืมต่อพ.ร.บ. รถด้วยนะคะ

แหล่งที่มา:oic.or.th rvp.co.th

วิธีขับรถเกียร์ออโต้ เกียร์ D1 D2 และ L คืออะไร มีไว้ใช้ตอนไหน

ปัจจุบันนี้ รถยนต์ ส่วนใหญ่ตามท้องถนนล้วนเป็นรถเกียร์ออโต้ หรือรถเกียร์อัตโนมัติ แทบจะทั้งหมด ด้วยการใช้งานที่ง่าย สะดวกสบาย เพิ่มความเพลิดเพลินในการขับขี่ให้มากกว่าเดิม จะมือใหม่หัดขับหรือมือเก่าก็ขับได้ ไม่ยุ่งยากเหมือนรถเกียร์ธรรมดาที่ต้องคอยเหยียบคลัตช์ ใช้เพียงแค่เท้าขวาข้างเดียวคอยควบคุมคันเร่งและเบรกเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถยนต์เกียร์ออโต้นั้นจะถือได้ว่าออกแบบมาให้สามารถขับขี่ได้ง่าย แต่การใช้งานโดยเฉพาะการควบคุมและเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมถูกต้องก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น ผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเป็นมือเก๋า หรือผู้ที่หัดขับรถเกียร์ออโต้ ก็ควรต้องศึกษาให้เข้าใจว่า เกียร์ต่าง ๆ ใช้สำหรับทำอะไร

การใช้งานเกียร์อัตโนมัติ

รถเกียร์ออโต้ หรือเกียร์อัตโนมัติ จะมีตำแหน่งเกียร์ที่สำคัญอยู่ 4 ตำแหน่งด้วยกัน ได้แก่ ตำแหน่ง P, R, N และ D ซึ่งในแต่ละตำแหน่งนั้นจะมีหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ในรถเกียร์ออโต้บางรุ่น เราอาจพบเจอกับตำแหน่ง D1, D2, 2 และ L ด้วยเช่นกัน เรามาดูหน้าที่ของเกียร์แต่ละตำแหน่งกันว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง

  • ตำแหน่งเกียร์ P – Park ใช้สำหรับการจอดรถอยู่กับที่หรือจอดรถในบริเวณที่มีพื้นที่ลาดเอียง จะไม่สามารถเข็นหรือขยับรถได้ 
  • ตำแหน่งเกียร์ R – Reverse ใช้สำหรับการถอยหลัง
  • ตำแหน่งเกียร์ N – Neutral ใช้สำหรับการจอดหรือหยุดรถชั่วคราวในพื้นที่ราบปกติ ซึ่งในตำแหน่งเกียร์ N รถจะสามารถถูกเข็นหรือขยับได้ 
  • ตำแหน่งเกียร์ D – Drive ใช้สำหรับให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หากต้องการเพิ่มความเร็วใช้เท้าขวากดคันเร่งเพิ่ม

นอกจากตำแหน่งเกียร์ 4 ตำแหน่งนี้ที่ดูเหมือนจะครอบคลุมการทำงานของรถเกียร์ออโต้แทบทั้งหมดแล้ว ในรถยนต์แต่ละรุ่นหรือแต่ละแบรนด์ ยังมีตำแหน่งเกียร์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาแตกต่างกันไป ซึ่งหลายคนอาจยังสงสัยว่า แล้วตำแหน่งเกียร์ D1, D2 หรือเกียร์ 2 และเกียร์ L คือเกียร์อะไร มีไว้ทำไม และควรต้องใช้เมื่อใด มาดูความหมายของเกียร์เหล่านี้กัน

  • ตำแหน่งเกียร์ D11 และ L – เรียกอีกอย่างว่าเกียร์ต่ำ ใช้สำหรับการเคลื่อนที่บนเส้นทางที่มีความลาดชันมาก เช่น เนิน สะพาน หรือภูเขาสูง เมื่อเราเปลี่ยนเกียร์มาที่ตำแหน่ง D1 หรือ 1 การทำงานอัตราทดของเครื่องยนต์จะอยู่แค่เพียงเกียร์ 1 เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นเกียร์ที่มีพละกำลังมากที่สุด 
  • ตำแหน่งเกียร์ D2 หรือ 2 – มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกับเกียร์ D1 หรือ 1 ใช้สำหรับการเคลื่อนที่บนเส้นทางที่มีความลาดชันไม่มากนัก เป็นเกียร์ที่ให้พละกำลังสูง ทำความเร็วได้ในระดับหนึ่ง

นอกจากจะใช้เกียร์ D1, D2, 2 และ L ในการขึ้นเขาหรือเส้นทางที่มีความลาดชันมาก ๆ แล้ว เรามักใช้เกียร์เหล่านี้ในการลงเขาด้วย เพราะการลงเขา ลงเนิน ที่มีความลาดชันมาก ๆ จำเป็นต้องใช้เบรก และถ้าหากเราใช้เบรกมากจนเกินไปก็อาจเกิดปัญหาเบรกไหม้ได้ การใช้เกียร์ D1, D2, 2 และ L เครื่องยนต์จะมีรอบที่สูง ทำให้เกิด Engine Brake หรือแรงต้านทานจากเครื่องยนต์ที่จะทำให้รถช้าลงเวลาลงเขานั่นเอง

ข้อควรระวังการใช้งานเกียร์ออโต้

รถเกียร์ออโต้แม้จะออกแบบมาเพื่อให้ความสบายแก่ผู้ขับขี่ แต่อีกมุมหนึ่งก็มีข้อควรระวังในการใช้งานด้วยเช่นกัน ทั้งในส่วนของความปลอดภัยตั้งแต่ยังไม่ออกรถ หรือแม้แต่ขณะขับขี่ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเอง เพื่อนร่วมทาง และยืดอายุการใช้งานของเกียร์ออโต้ให้ยาวนาน

1.เหยียบเบรกทุกครั้งก่อนการเปลี่ยนเกียร์

2.ดูตำแหน่งเกียร์ทุกครั้งก่อนการออกตัวและหลังจากหยุดรถ

3.ไม่ควรออกตัวแบบกระชากอย่างรุนแรง

4.ไม่เข้าเกียร์ว่างขณะรถวิ่ง เช่น ขณะลงเขา

5.ไม่ควรคิกดาวน์เพื่อเร่งแซงบ่อย ๆ

ทั้งนี้ เพื่อความไม่ประมาทและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง เราควรศึกษาและเข้าใจการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของเกียร์ออโต้ เพื่อที่จะเลือกใช้งานเกียร์อัตโนมัติได้อย่างเหมาะสมตามสภาพถนน และขับขี่ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

แหล่งที่มา:https://car.kapook.com/view240919.html

จุดควรระวัง!!! ที่คาดไม่ถึง ควรทำความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค

❗️จุดควรระวัง!!! ที่คาดไม่ถึง ควรทำความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค

🔑#กุญแจรีโมท
เป็นสิ่งที่เราต้องสัมผัสและพกติดตัวทุกครั้งที่เดินทาง จึงมีโอกาสที่มือของเราไปสัมผัสเชื้อโรคแล้วมาจับกุญแจรถ ทำความสะอาดง่ายๆ เพียงนำผ้าหรือสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดให้ทั่วทุกซอกมุม

🚗#มือเปิดประตู
เพราะเราไม่รู้เลยว่าตอนที่เราจอดรถทิ้งไว้อาจมีคนอื่นมาจับหรือนกมาถ่ายทิ้งไว้ นอกจากมือเปิดประตูด้านนอกแล้ว มือเปิดประตูด้านในรถก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีในกรุงเทพที่ต้องฝ่ารถติด และแข่งกับเวลาอยู่เสมอ จนต้องรับประทานอาหารหรือแต่งหน้าในรถ ทำให้มีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคเข้าร่างกายได้ง่าย ในช่วงนี้จึงอยากแนะนำให้ล้างรถและเช็ดทำความสะอาดกันถี่มากขึ้นค่ะ

🚙#พวงมาลัย
เป็นส่วนที่มือเราทั้งสองข้างต้องสัมผัสอยู่ตลอดเวลา จึงมีโอกาสที่มือเราสัมผัสสิ่งสกปรกจากข้างนอกเข้ามาในรถ รวมไปถึงละอองจากการไอจาม ผสมกับเหงื่อจากมือทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค ควรเช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ

🕹#หัวเกียร์
เกียร์เป็นสิ่งที่เราต้องสัมผัสและเลื่อนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่การจราจรติดขัด จึงอาจเกิดการส่งต่อของเชื้อโรคได้ อาทิ เดียวมือเราไปจับพวงมาลัย เดียวจับเกียร์ เดียวเปิดแอร์ เดียวเปิดวิทยุ ฯลฯ จึงหมั่นทำความสะอาดเช่นกัน

🎮#สวิตช์ควบคุม
ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ไฟเลี้ยว สวิตช์แอร์ หน้าจอวิทยุ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้มือสัมผัสบ่อยครั้ง ควรเช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ

💺#เบาะนั่ง
นอกจากต้องทำความสะอาดบริเวณตัวเบาะ และจุดที่ต้องสัมผัสกับร่างกายแล้ว เวลาทำความสะอาดต้องปรับเบาะให้เอียงลงมาราบสุดเพราะจะมีเศษฝุ่นละออง และสิ่งสกปรก ชอบลงไปอยู่ตามซอก อย่าลืมทำความสะอาดบริเวณที่ปรับระดับ และที่เลื่อนเบาะด้วยนะคะ

🥾#พรมรองพื้น
รองเท้าของเราต้องย่ำผ่านสิ่งสกปรกมามากมายก่อนที่จะมาขึ้นรถ พรมรองพื้นนอกจากจะช่วยดักฝุ่นแล้ว ยังมีโอกาสที่เชื้อโรคเข้ามาสะสมได้ตลอดเวลา แค่การดูดฝุ่นคงไม่เพียงพอ ถึงเวลาที่ต้องนำออกมาซักทำความสะอาดด้วยแล้วค่ะ

แหล่งที่มา: https://www.toyotathajean.co.th/2020/04/24/จุดควรระวัง-ที่คาดไม่ถ/

รถเล็กรุ่นท็อป” กับ “รถใหญ่รุ่นล่าง” เลือกตัวไหนดี?

🤔“รถเล็กรุ่นท็อป” กับ “รถใหญ่รุ่นล่าง” เลือกตัวไหนดี?

รถแต่ละรุ่นนั้นมีข้อดีแตกต่างกัน เวลาจะซื้อรถหลายคนคงคิดไม่ตก ว่าจะเอารถรุ่นไหนดี รถใหญ่รุ่นล่าง หรือว่า รถเล็กรุ่นท็อป เลือกไม่ถูกกันเลย วันนี้แอดมินมีคำแนะนำดีๆ มาช่วยในการตัดสินใจค่ะ

• จำนวนผู้โดยสารและสัมภาระ
การถอยรถใหม่ควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งานด้วยว่า จำนวนผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางและสัมภาระที่ต้องนำไปด้วยเป็นประจำมากน้อยเพียงใด ถ้าเน้นใช้งานในครอบครัวที่ต้องเดินทาง 4-5 คนเป็นประจำทุกสัปดาห์หรือมีการบรรทุกสัมภาระที่มีจำนวนมากๆ การเลือกรถที่มีขนาดใหญ่ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่า แต่หากใช้งานเพียง 1-2 คน อีกทั้งสัมภาระไม่มากแล้วล่ะก็ รถยนต์ขนาดเล็กจะช่วยให้เวลาขับคล่องตัวกว่า

• รูปแบบการใช้งาน
หากต้องใช้งานขับทางไกลอยู่เป็นประจำรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสมรรถนะการขับที่ดีและมีความทนทาน ยิ่งถ้าต้องวิ่งบนเส้นทางที่ขรุขระเป็นประจำ แต่ถ้าเน้นใช้งานในเมืองรถที่มีขนาดเล็กจะช่วยให้คล่องตัว โดยเฉพาะความฉับไวในการเปลี่ยนเลน ความง่ายในการกะระยะ รวมถึงการหาที่จอดรถ

• ออพชั่นเหมาะสมกับการใช้งาน
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคประมาณว่า “ถ้าราคาตัวท็อปจะแพงขนาดนี้ หันไปเล่นรุ่นใหญ่แทนดีกว่า” จริงอยู่ที่การหันไปเลือกรถยนต์รุ่นใหญ่กว่าอาจดูคุ้มค่ากว่า แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ว่าจะเป็นรถรุ่นใหญ่แต่ตัวโลว์ ก็อาจติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้น้อยกว่ารุ่นเล็กแต่ตัวท็อป

• ค่าบำรุงรักษา
รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าก็จะมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า แม้ว่าจะเป็นอะไหล่แบบเดียวกัน หากไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถขนาดใหญ่ การเลือกซื้อรถรุ่นเล็กกว่า จะช่วยให้ประหยัดได้

🌟ดังนั้น​ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ จึงควรวัดกันที่ความเหมาะสมในการใช้งานของเราเป็นหลักค่ะ

แหล่งที่มา: https://www.toyotathajean.co.th/2020/03/16/รถเล็กรุ่นท็อป-กับ-รถ/

8 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำระหว่างอยู่บนรถ

รับประทานอาหาร

  • ชั่วโมงเร่งรีบการกินอาหารบนรถถือเป็นทางเลือกสะดวกสุด แต่นี่อาจจะเป็นสิ่งที่อันตรายด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่เหมาะสมทั้งคนขับและผู้โดยสารหากกินไปขับรถไปอาจจะทำให้ไม่มีสมาธิในการขับรถ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนผู้โดยสารหากนั่งกินๆ อยู่แล้วเกิดอุบัติเหตุอาหารอาจจะหกเลอะเทอะหรือได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรจอดรถแล้วกินให้เรียบร้อยหรือแวะร้านอาหารเพื่อความปลอดภัยค่ะ

ดูหนัง

  • เมื่อเปิดดูหนังสมาธิก็อาจจะไปโฟกัสอยู่ตรงนั้นเลยทำให้ไม่สนใจเส้นทางว่าเรากำลังไปไหนโดยเฉพาะผู้ที่โดยสารด้วยรถสาธารณะอาจจะทำให้เลยสถานที่ที่จะลงได้ส่วนคนขับรถยิ่งเป็นข้อห้ามอันดับต้นๆ ที่ไม่ควรทำเช่นกันค่ะ

แต่งหน้า

  • กรณีนี้ผู้หญิงหลายคงจะทำเป็นประจำโดยอาศัยช่วงรถติดแต่นี่เป็นสิ่งที่อันตรายมากๆ เพราะการแต่งหน้าแต่ละครั้งค่อนข้างใช้สมาธิและความละเอียดสูงไม่ว่าจะทั้งคนขับหรือผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยขนาดผู้เขียนเองก็ยังต้องตั้งใจเลยกว่าจะเขียนตาได้แต่ละข้างต้องบรรจงสุดๆ เรียกว่าต้องใช้ทักษะขั้นสูงเลยหากเกิดอุบัติเหตุนอกจากจะเลอะเทอะแล้วสิ่งที่ตามมาอาจจะอาจจะทำให้เราเจ็บตัวได้

คุยโทรศัพท์

  • รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการงดคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ใช่แค่คนขับเท่านั้นเพราะผู้โดยสารควรงดคุยโทรศัพท์ระหว่างนั่งรถเช่นกัน เนื่องจากการคุยโทรศัพท์เสียงดังอาจจะรบกวนสมาธิคนขับรถได้ ผู้เขียนเคยนั่งรถตู้โดยสารพบว่าบางคันเขียนป้ายติดอย่างชัดเจนว่าห้ามคุยโทรศัพท์ ทำให้บรรยากาศในรถเงียบสงบจริงๆ ที่สำคัญยังป้องกันไม่ให้คนอื่นทราบเรื่องที่เรากำลังคุยอยู่กับปลายสายด้วยนะคะ ^^

สูบบุหรี่

  • ถ้าไปต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่นจะเห็นว่าที่นั่นมีพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ แม้ว่าประเทศไทยมีอิสระในการสูบบุหรี่ แต่ในรถก็ไม่ควรอย่างยิ่ง ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร แม้ว่าจะเปิดกระจกแล้วพ่นควันออกมานอกรถ แต่บางครั้งควันบุหรี่อาจจะลอยเข้าไปยังรถคันอื่นได้ ผู้เขียนเคยเจอคนเขี่ยก้นบุหรี่ออกมานอกรถด้วย แล้วเกิดประกายไฟ เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ อยากให้อดใจแล้วหยุดสูบบุหรี่ข้างนอกดีกว่าค่ะ

เล่นเกมส์

  • บ่อยครั้งที่รถติดแล้วอยากจะหาอะไรแก้เบื่อ การเล่นเกมส์อาจจะช่วยคุณได้ แต่…ไม่ควรเล่นขณะขับรถเพราะว่าอาจจะทำให้คุณจดจ่ออยู่กับเกมส์มากเกินไป แทนที่จะสนใจถนน ส่วนผู้โดยสารหากสนใจกับเกมส์ อาจจะทำให้ลืมว่าต้องลงป้ายไหน ส่งผลให้เสียเวลาไปอีก

ยกเท้าวางหน้าคอนโซลรถ

  • หลายคนคงอยากใช้ชีวิตให้เหมือนอยู่บ้าน เลยยกเท้าขึ้นมาวางหน้าคอนโซลรถ ยืดแข้งยืดขาชิวๆ ไป แต่พฤติกรรมแบบนี้ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก หากเกิดอุบัติเหตุอาจจะทำให้เราได้รับบาดเจ็บหนักกว่าคนอื่น เพราะอยู่ในท่านั่งที่ผิด อาจจะลองใช้วิธีเป็นปรับเบาะให้เหมาะกับตัวเราดู หรือแวะพักตามจุดจอดพักรถอาจจะช่วยคุณได้

นอนหลับ

  • สำหรับคนขับคงไม่เหมาะอย่างมากถ้านอนหลับแล้วขับรถ หรือง่วงแล้วขับ เพราะนั่นจะทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน ถ้าง่วงมากๆ ขอให้แวะจุดพักรถดีกว่าเพื่อความปลอดภัย ส่วนผู้โดยสารหากนั่งทางไกลสามารถนอนหลับได้เพื่อเก็บแรง แต่กรณีเดินทางใกล้ๆ อย่าหลับลึกนะคะเพราะอาจจะทำให้คุณเลยป้ายได้ เหมือนอย่างผู้เขียนเองเกิดขึ้นบ่อยมาก ^^

พฤติกรรมทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะคอยเตือนสติให้ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากทุกคนไม่ประมาททุกสิ่งที่คาดไม่ถึงก็จะไม่เกิดขึ้นนั่นเอง

แหล่งที่มา: https://www.mangozero.com/8-do-not-on-car/

ความเชื่อผิดๆ ที่คนใช้รถมักได้ยินบ่อยๆ

เรามักจะได้ยินเรื่องการดูแลรถจากหลายที่ บ้างก็เข้าไปหาข้อมูลในโลกออนไลน์ เรื่องจริงที่ใช้ได้ก็มีมากมายแต่เรื่องผิดๆ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน เรามาดูกันว่ามีเรื่องอะไรที่เข้าใจผิดบ้างจะได้ดูแลรถกันแบบไม่ต้องกังวล

ยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นเวลาจอดรถตากแดด

เรื่องนี้ไม่จำเป็นเลย ไม่ว่าจะยกหรือไม่ยกก้านปัดน้ำฝน อายุการใช้งานของยางใบปัดจะอยู่ไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียให้สปริงของก้านปัดล้า ซึ่งราคาเปลี่ยนก็มีมูลค่าสูงกว่ายางใบปัดน้ำฝนแน่นอน

ขับทางไกลยิ่งขับช้ายิ่งประหยัด

ในเรื่องการประหยัดน้ำมันขณะเดินทางไกลไม่จำเป็นเป็นต้องขับช้า เพราะยิ่งขับช้าเท่าไหร่ระยะเวลาในการเดินทางยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แถมไม่ช่วยประหยัดน้ำมันอีกด้วยเพราะกำลังจากเครื่องยนต์ไม่ได้ถูกตัดต่อกำลังให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ในการขับรถทางไกลเราควรดูรอบเครื่องยนต์กับความเร็วให้สัมพันธ์กัน ซึ่งรอบเครื่องยนต์ที่สัมพันธ์จะอยู่ที่ประมาณ 2000 รอบ/นาที สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีเทอโบแปลผันรอบเครื่องยนต์ที่สัมพันธ์จะอยู่ที่ประมาณ 1800 รอบ/นาที ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ประมาณ 100-110 กม./ชม. เพียงเท่านี้เราก็สามารถเดินทางไกลได้อย่างประหยัดและได้เวลาในการเดินทางที่กระชับลงอีกด้วย

เคลือบแก้วแล้วสามารถป้องกันเศษหินหรือการกระแทกได้

ในความเป็นจริง คุณสมบัติของการเคลือบแก้ว คือ ปกป้องสีรถจากมลภาวะต่างๆ เช่น ฝนกัดชั้นสีผิวรถ รอยขนแมว แสงยูวี รวมถึงคราบขี้นก ยางไม้ หรือยางมะตอย และให้ความเงางามสดใสสูงกว่าการเคลือบสีระยะสั้น แต่ไม่สามารถป้องกันสะเก็ดหินหรือกิ่งไม้เหมือนการติดฟิล์มได้

เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน (Hazard Light) เมื่อข้ามแยกที่มีไม่สัญญาณไฟหรือไฟชำรุด

เรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเปิดไฟฉุกเฉินแน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามหรือด้านท้ายอาจมองเห็น แต่ในทางกลับกันรถที่อยู่ในฝั่งซ้ายหรือขวา จะเห็นสัญญาณไฟเลี้ยวเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเกิดอุบัติเหตุได้

เติมลมยางแข็งทำให้ยางระเบิดได้

เรื่องของลมยางต้องบอกก่อนเลยว่าเราสามารถเติมให้แข็งกว่าที่ตัวรถกำหนดได้ไม่ทำให้ยางระเบิดแน่นอน แต่ก็จะมีข้อเสียคือทำให้ขับแล้วรู้สึกกระด้าง และลดการเกาะถนนเนื่องจากแก้มยางยกตัวขึ้น แต่ถ้าเราเติมลมยางอ่อนเกินไปล่ะ…อันนี้บอกเลยว่าเสี่ยงมากกว่าเพราะถ้าลมอ่อนแก้มยางจะย้วยและยืดยุบตลอดเวลาและร้อนจนอาจระเบิด แถมยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ ในการเดินทางไกลเราควรเติมลมยางให้มากกว่าที่คู่มือกำนดไว้อย่างน้อย 2 ปอนด์ เพื่อป้องกันลมยางหานเนื่องจากความร้อน

แหล่งที่มา: https://www.grandprix.co.th/ความเชื่อผิดๆ/

น้ำมันรั่วใต้รถ สัญญาณร้ายเตือนว่ารถคุณเริ่มมีปัญหา

น้ำมันรั่วใต้รถ สัญญาณร้ายเตือนว่ารถคุณเริ่มมีปัญหา

รอยน้ำมันหยดที่พื้นใต้ท้องรถ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนี้ปัญหาได้มาเยือนรถยนต์ที่เพื่อนๆ รัก ซึ่งมักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งานที่นาน ทำให้ขอบยางต่างๆ เกิดการเสื่อมสภาพ หรืออาจมาจากรถเคยผ่านอุบัติเหตุชนอย่างรุนแรง ทำให้มีน้ำมันรั่วซึมออกมาได้ อาการน้ำมันรั่วร้ายแรงต่อรถแค่ไหน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันที่รั่วคือน้ำมันอะไร เรามีคำตอบให้ค่ะ

การสังเกตว่าน้ำมันที่รั่วคือน้ำมันที่มาจากส่วนไหนของรถ ให้ลองก้มดูว่าตำแหน่งที่รั่วมาจากส่วนไหน หากรอยรั่วด้านขวาให้สันนิษฐานก่อนว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง หากเป็นทางด้านซ้ายให้สันนิษฐานรั่วจากระบบส่งกำลังหรือชุดเกียร์ หรือให้ลองสังเกตสีของน้ำมันที่หยดลงพื้น โดยสีจะเป็นตัวบ่งบอกถึงตำแหน่งได้ดีว่ารั่วมาจากจุดไหนของรถ โดยสีของน้ำมันมีดังนี้

1. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำ น่าจะเป็นน้ำมันเครื่องรั่ว
2. รอยน้ำมันรั่ว สีแดง เป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
3. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำและมีความเหนียวหนืด เป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดา
4. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำและมีความเหนียวหนืดมาก เป็นน้ำมันเฟืองท้าย

หากพบว่ามีรอยน้ำมันรั่วตามพื้นในตำแหน่งที่รถจอด ควรรีบนำรถไปให้ช่างตรวจสอบ เพราะน้ำมันเหล่านี้ช่วยในการหล่อลื่นของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ของรถ หากน้ำมันเหล่านี้เกิดรั่วนั่นหมายถึงการทำงานของอะไหล่ในส่วนนั้นทำได้ไม่เต็มที่ และจะเกิดปัญหาการชำรุดเสียหายตามมา ฉะนั้นทุกครั้งก่อนจะขับรถลองก้มดูสักนิดว่ามีน้ำมันรั่วใต้ท้องรถเพื่อนๆ หรือไม่นะคะ

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน

เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรตั้งสติให้ดีอย่าตกใจ

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้ทางทีมงานจะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรรู้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ว่าต้องควรปฎิบัติอย่างไรซึ่งหลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน และหากมีการปฎิบัติที่ผิดขั้นก็อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้เช่นกัน เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้

เมื่อเกิดอุบัติเหตไม่ควรเคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุจนว่าจะทราบฝ่ายผิด

          เรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนนั้นถือว่า มีประโยชน์อย่างมากในการทำตาม เพราะถ้าหากมีการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลตามมาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนมีดังนี้

1.ควรหยุดรถทันที

          ควรทำการหยุดรถทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม และไม่ควรเคลื่อนย้ายรถหากว่ายังไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องอุบัติเหตุว่าใครเป็นผู้ที่ผิด ทางทีดีควรรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตีเส้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวก็ควรที่จะเลื่อนรถไปจอดในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกจี้ปล้นในที่เปลี่ยว 

2.อย่าพูดขอโทษ

          เรื่องของการพูดขอโทษเมื่อเกิดอุบัติเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การพูดขอโทษในบางครั้งอาจจะเป็นการยอมรับว่าคุณได้เป็นฝ่ายกระทำผิด ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

3.ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้ละเอียด แก่ประกันภัยของคู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4.ขอข้อมูล

           หลังจากที่เราได้ให้ข้อมูลดังกล่าว ไปแล้วเราก็ควรข้อข้อมูลรถคู่กรณีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากคู่กรณีไม่ให้ข้อมูล ก็ควรจดเลขทะเบียนและรูปพรรณของรถเอาไว้

5.แจ้งตำรวจ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือน้อย ก็ตามควรที่จะแจ้งตำรวจทุกครั้งหากเกิด อีกฝ่ายนึงไปแจ้งความภายหลังคุณอาจจะกลายเป็นผู้ที่หลบหนีได้ จะทำให้เป้นฝ่ายผิดทุกกรณี

6.หาพยาน

          ซึ่งพยานนั้นสามารถหาได้จากบริเวณดดยรอบที่เกิดเหตุ หากเขายินยอมเป็นพยานก็ควร ขอ ชื่อ-ที่อยู่ไว้เพื่อทำการติดต่อ

7.ไปโรงพยาบาล

          หากสงสัยว่าเกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจร่างกาย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายนั้นยากขึ้น

8.ต้องรีบแจ้งความ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องรีบแจ้งความทันที เพราะบริษัทประกันภัยจะไม่มีการับใบแจ้งความย้อนหลัง

9.ตกลงเรื่องค่าเสียหายให้ดี

          เมื่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จะแนะนำคุณในเรื่องของค่าเสียหายว่าจะให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ชดใช้หรือจะรับผิดชอบเองเพราะในบางกรณีนั้น ที่ให้บริษัทประกันภัยเป้นผู้ชดใช้อาจจะสงผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชดใช้เองจะทำให้เสียเงินน้อยกว่า ค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น

10.อย่ารีบรับข้อเสนอ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ยอมรับผิดอย่าพึ่งรีบรับขอสนอให้ทำการยอมความ เพราะถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จะทำให้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ยาก

5 วิธีดูแลรถยนต์หลังเจอน้ำท่วม

ถึงหน้าฝนอีกแล้ว เรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดก็คือเรื่องน้ำท่วม แล้วรถของเราที่จอดอยู่ถ้าเกิดฝนตกหนัก ฟ้ารั่วหนัก แล้วต้องเจอกับน้ำท่วม มีวิธีในการดูแลรักษารถหลังเจอน้ำท่วมอย่างไรบ้าง ลองดูครับ

สำหรับรถยนต์ที่เจอน้ำท่วมค่อนข้างสูงประมาณเกินครึ่งล้อ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น้ำจะทำความเสียหายให้กับระบบต่างๆในรถยนต์ได้ เมื่อจอดรถแล้วสิ่งที่ควรดู มีดังนี้

ประเมินระดับความสูงรถยนต์ และระดับน้ำที่ท่วม

ระดับน้ำที่ไม่เกิน 15 ซม.หรือไม่เกินครึ่งล้อ ถือว่าเป็นระดับที่สามารถไปได้ แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำท่วมเกินครึ่งล้อ ให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถทั้งหมด ทิ้งระยะให้ห่างจากคันหน้า ใช้เกียร์ต่ำ และพยายามเร่งเครื่องไว้ตลอดทางที่ลุยน้ำเพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ดับ แต่ถ้ามีทางหลีกเลี่ยง ไปทางอื่นดีกว่านะจ๊ะ

ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง

หากต้องลุยน้ำระดับครึ่งล้อ หรือสูงเกินครึ่งล้อ ควรตรวจเช็คน้ำมันเครื่องดูสักหน่อยว่ามีน้ำเข้าไปผสมอยู่หรือไม่ โดยการดึงที่ก้านวัดน้ำมันเครื่องมาตรวจสอบ หากน้ำเข้าเครื่องยนต์ สีของน้ำมันเครื่องจะกลายเป็นสีน้ำนม ให้รีบเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองทันที

เช็คระบบเบรค

การลุยน้ำทำให้ผ้าเบรคเปียก และมีความชื้นทำให้จานเบรกเกิดสนิมได้ สามารถขจัดสนิมได้โดยการขัด หรือใช้น้ำยา ส่วนผ้าเบรกถ้าหากไม่ร่อนออกจากแผ่น ควรใช้ลมเป่าไล่ความชื้นให้แห้ง เพื่อความปลอดภัย

ตรวจสอบระบบไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์

การลุยน้ำอาจทำให้พัดลมหน้าเครื่อง ตีน้ำขึ้นสู่ห้องเครื่อง หรือซึมเข้าทางพื้นรถ ควรตรวจเช็คห้องเครื่อง และพื้นรถ เนื่องจากพื้นรถเป็นแหล่งรวมสายไฟฟ้า และกล่องควบคุม หากมีน้ำซึมเข้ามาควรไล่ความชื้นด้วยการเป่าลม หรือสเปรย์ไล่ความชื้น และทดสอบการใช้งานของอุปกรณ์ทั้งหมด

ตรวจสอบพื้นพรมของรถ

หากเปียกเล็กน้อยเป็นบางจุด ไล่ความชื้นด้วยการจอดตากแดด และเปิดประตูทั้ง 4 ด้านเพื่อระบายกลิ่น และความอับชื้น หากพรมเปียกทั้งหมด หรือน้ำเข้ารถควรถอดพรม และเบาะซักทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ตาก หรืออบให้แห้ง เพื่อให้กลิ่นอับ และความสกปรกหายไป

ทั้งหมดนี้เป็นการแนำนำวิธีเช็ครถเบื้องต้น ถ้าไม่มั่นใจ ให้แจ้งศูนย์บริการหรือเรียกช่างมาดูจะได้แก้ไขอย่างถูกวิธี

รวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถจากทุกมุมโลก

เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เราอาจพบความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติที่แปลกและแตกต่างกัน เราจึงรวบรวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถมาให้อ่านกันค่ะ

1. ประเทศไทย – กราบไหว้รถยนต์และมีเทวดาประจำรถ

คนไทยมีคติความเชื่อเกี่ยวกับพาหนะมาแต่โบราณ เนื่องจากเป็นยานพาหนะพาไปยังที่ต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น การ “ทำขวัญ” พาหนะจึงช่วยสร้างพลังและกำลังใจแก่เจ้าของ จึงมีการกราบไหว้รถยนต์ก่อนเดินทาง รวมไปจนถึงการมีเทวดาประจำรถ ไม่ว่าจะเป็น การเจิมรถ การไหว้แม่ย่านางประจำรถ หรือบูชาพระพุทธรูปไว้ในรถ แม้ดูไม่ใช่เรื่องแปลกของบ้านเรา แต่หลายชาติก็อาจเกิดความงุนงงที่บ้านเราต่างพากันกราบไหว้สิ่งของทั่วไป

2. ประเทศซาอุดิอาระเบีย – ผู้หญิงห้ามขับรถ

แม้ไม่มีข้อกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าห้ามผู้หญิงขับรถ แต่ด้วยความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องอันตรายและผิดศีลธรรม และคนส่วนมากเชื่อว่าหากผู้หญิงได้ขับรถแล้วอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเธอได้รับอิสระมากขึ้น

3. ประเทศโอมาน – เปิดบทสวดมนต์ให้รถยนต์ฟัง

อีกหนึ่งความเชื่อสุดประหลาดจากประเทศโอมานคือการเปิดเทปเสียงสวดมนต์จากคัมภีร์อัลกุรอ่านเป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หลังจากล้างรถใหม่ เพื่อปัดเป่ามารร้ายออกจากรถ และช่วยสร้างพลังและกำลังใจ

4. ประเทศจีน – เลขไม่มงคล

ถือเป็นหลักความเชื่อที่มีผลกับชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นกันในเรื่องความเชื่อเลข 4 ถือเป็นเลขที่ไม่มงคล เพราะมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “ซี้” ที่แปลว่าตายในภาษาจีนแต้จิ๋ว

5. ประเทศรัสเซีย – ห้ามผิวปากในรถ

แม้การผิวปากจะดูเป็นการแสดงออกถึงความอารมณ์ดี แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศก็มีความเชื่อแปลก ๆ เกี่ยวกับการผิวปาก เช่น บ้านเราไม่ให้ผิวปากตอนกลางคืน เพราะเป็นการเรียกวิญญาณ เช่นเดียวกับประเทศรัสเซียที่ไม่ให้ผิวปากในรถ เพราะถือว่าจะทำให้เสียทรัพย์

6. ประเทศแถบยุโรป – ชอบป้ายทะเบียนที่มีเลข 7

ที่ชาวยุโรปมีความชื่นชอบเลข 7 เป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขให้โชคลาภ ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางปลอดภัย และมีอำนาจพิเศษ เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ที่ถือว่าเลข 7 เป็นเลขมงคล เพราะประเทศญี่ปุ่นมีประเพณีกินสมุน ไพร 7 ชนิด เชื่อกันว่าทำให้สุขภาพดี

7. ประเทศรัสเซีย – ดอกไม้สีเหลือง

รัสเซียซึ่งเชื่อว่าดอกไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการแยกทางกัน ความไม่ซื่อสัตย์ หรือความตาย ชาวรัสเซียจึงไม่นิยมนำดอกไม้สีเหลืองขึ้นรถ เพราะถือเป็นการทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือโชคไม่ดีในการขับขี่นั่นเอง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

หากพูดถึงความเชื่อของคนไทย แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งสมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึง ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย ที่เริ่มมีบทบาทต่อชีวิตของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างว่าทำแล้วส่งผลให้มีโชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ความเชื่อเกี่ยวกับรถ ที่คนไทยหลายคนเชื่อกันว่ามีอะไรบ้าง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

1.ฤกษ์ออกรถ

คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับฤกษ์ออกรถค่อนข้างมาก เพราะเป็นวันแรกที่นำรถออกจากศูนย์มาขับใช้งาน ซึ่งการดูฤกษ์ออกรถนั้นก็เป็นความเชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่รถยนต์และผู้ขับขี่ หลายคนที่กำลังจะออกรถ จึงมักหาวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดีในการออกรถนั่นเอง

2. การเจิมรถ

นอกจากฤกษ์ออกรถแล้ว หลายคนก็นิยมนำรถยนต์ไปเจิม ไม่ว่าจะเจิมรถด้วยพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ หรือแม้แต่บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ในบ้านก็ตาม แต่ส่วนใหญ่นิยมให้พระเป็นผู้เจิมรถให้ เพราะมีความเชื่อว่าหากให้พระสงฆ์ทำพิธีเจิมรถให้ จะเป็นเหมือนการให้พร ให้มีสิ่งดีๆ เข้ามา มีโชค มีลาภ ขับรถไปไหนก็แคล้วคลาดปลอดภัย

3. ป้ายทะเบียนรถยนต์

ปัจจุบัน ศาสตร์ของตัวเลขถือว่าเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ รวมไปถึง ป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่มีการคำนวณผลรวมของตัวเลขให้ออกมาเป็นเลขมงคล หรือเลขที่มีความหมายในทิศทางที่ดี มีสิริมงคล โดยเป็นความเชื่อที่ว่า ตัวเลขป้ายทะเบียนรถยนต์เหล่านั้นจะส่งผลต่อโชคชะตาชีวิตของเจ้าของรถนั่นเอง

4. สีรถถูกโฉลก

หลายคนเลือกสีรถจากความชอบ แต่หลายคนก็เลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง หรือถูกโฉลกกับวันเดือนปีเกิดของตัวเอง โดยมีความเชื่อที่ว่าสีรถถูกโฉลกจะเป็นพลังที่ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งโชคลาภ ความก้าวหน้า และช่วยเสริมดวงชะตาแก่เจ้าของรถ แต่หลายคนที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีสีถูกโฉลก ก็นิยมนำสติ๊กเกอร์ที่เป็นประโยคบอกสีมาแปะบนรถ เพื่อเป็นแก้เคล็ดแทน เช่น รถคันนี้สีขาว เป็นต้น

5. พระตั้งหน้ารถ

ปิดท้ายกันที่ความเชื่อเรื่องการตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า การวางพระตั้งหน้ารถนั้นจะทำให้คุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง และปกปักรักษาคนขับรถให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ การตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถนั้น จึงเป็นเหมือนการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกอุ่นใจนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลังมากมายที่คนขับรถส่วนใหญ่นิยมบูชาไว้ติดรถ เช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงพ่อโสธร เป็นต้น

Cr. chobrod.com

เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่างไรแล้วควรตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท ขับรถด้วยความระมัดระวัง และถ้าจะให้ดีมาสิแนะนำว่าควรทำประกันรถยนต์ไว้ด้วย เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินก็ยังคงได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์เป็นค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณีนั่นเอง

อายุยาง ดูตรงไหน จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว?

อายุยาง ดูตรงไหน ?

ตัวเลขบนหน้ายาง ที่เราสังเกตเห็นบนหน้ายาง จะมีอยู่หลายชุด ซึ่งแต่ละชุดจะเป็นตัวเลขที่บอกข้อมูลให้เจ้าของรถเพื่อเป็นข้อสังเกต อายุยาง ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยาง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ชุดแรกจะเป็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนยางที่บอกถึงอายุของยางรถยนต์ สามารถดูได้ที่ตัวเลขสี่หลักที่ประทับบนแก้มยาง โดยเลขสองตัวแรกบ่งบอกสัปดาห์ที่ผลิต ขณะที่ตัวเลขสองตัวหลังบอกปีทีผลิต

ถ้าดูจากภาพจะเห็นว่ายางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 12 ปี ค.ศ. 2018 การเลือกใช้ยางหลายคนอาจะได้ข้อมูลมาว่าต้องเป็นยางที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆ จะดีที่สุด ซึ่งในทางเทคนิคยางที่ดีจะต้องใช้เวลาในการคงตัว (เซตตัว) โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน เพื่อความแข็งแรงในการใช้งาน แต่ผลจากการทดสอบคุณภาพยางจากได้ผลออกมาว่า ยางที่เพิ่งผลิตกับยางที่ผลิตไปแล้ว 1 – 2 ปี คุณภาพไม่แตกต่างกัน ขณะที่อายุใช้งานสูงสุดของยางไม่ควรเกิน 4 – 5 ปี (นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน)

ตัวเลขอีกหนึ่งชุดคือตัวเลขที่บอกถึง สัญลักษณ์ความเร็ว, ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด, เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อกระทะ, ยางมีโครงสร้างแบบเรเดียล, ความสูงของแก้มยาง (คิดเป็น % ของหน้ายาง), ความกว้างหน้ายาง (มิลลิเมตร)

เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์กันแล้ว มีสัญญาณอะไรบอกบ้าง Autospinn นำเสนอเคล็ดลับ 5 ข้อให้ผู้ขับขี่ได้ตรวจสอบสภาพยางอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้อย่างง่าย ๆ

1. ดูที่ตัวบอกสภาพดอกยาง

ยางรถยนต์ส่วนใหญ่มีตัวบอกสภาพดอกยางอยู่บริเวณหน้ายาง ถ้าตัวบอกสภาพดังกล่าวมีความหนาในระดับเดียวกับดอกยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางแล้วเพื่อความปลอดภัย ถ้ายางที่คุณใช้ไม่มีตัวบอกสภาพดอกยาง

อีกหนึ่งเคล็ดลับคือการใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยาง ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง หมายถึงดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานได้ต่อไป ควรเปลี่ยนยาง 

2. แก้มยางแตกหรือแยกส่วน

ถึงแม้ว่าแก้มยางจะไม่ใช่ส่วนที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรงเหมือนหน้ายาง แต่ถ้าแก้มยางมีรอยแตกอาจนำไปสู่ยางระเบิดหรือแตกขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้

3. ยางบวม

ยางบวมเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่อันตรายอย่างมาก การบวมของยางส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณแก้มยาง สาเหตุหลักมาจากการขับตกหลุมหรือเสียดสีอย่างรุนแรง รวมถึงข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตซึ่งทำให้โครงสร้างยางไม่แข็งแรงในจุดที่เกิดการบวม

4. ตำแหน่งรั่วของยาง

เมื่อยางเกิดรั่ว หลายคนนิยมใช้วิธีปะยางแทนการเปลี่ยนยางทั้งเส้น เพราะประหยัดสตางค์ได้มากกว่า แต่ควรตระหนักว่าการปะยางควรทำในบริเวณที่รอยรั่วมีขนาดไม่เกิน 1 ใน 4 นิ้วและเกิดขึ้นบริเวณหน้ายางเท่านั้น (ตามภาพ) การปะยางไม่ควรทำบริเวณแก้มหรือขอบยางเพราะไม่มีประโยชน์อันใดและอาจเป็นอันตรายต่อไปในอีกไม่ช้า

สำหรับผู้ใช้รถที่ต้องการใช้ยางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานได้ดี ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ผู้ใช้รถสามารถเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถมากที่สุด ที่สำคัญต้องมีราคาที่สมเหตุสมผล ประหยัดเงินกระเป๋า

ลมยาง เติมตามคู่มือดีที่สุดจริงหรือ?

ยาง คือสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นถนนกับรถอันเป็นที่รักของเรา ไม่ว่าจะรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ ยางเป็นองค์ประกอบสำคัญมากที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการยึดเกาะถนนของรถ ไม่ว่ารถของคุณจะมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ดีแค่ไหน หากแต่ยางที่คุณใช้นั้นไม่เกาะถนน ก็จะทำให้การขับขี่ของคุณไม่ปลอดภัยได้ทันที


แล้วจะทำยังไงล่ะให้ยางที่เราใช้นั้นเกาะถนน ซื้อยางแพงๆเหรอ? คำตอบคือ “ใช่” ในส่วนหนึ่ง แน่นอนว่ายางราคาสูงๆ ย่อมมีศักยภาพในการยึดเกาะที่ดีกว่ายางราคาถูก ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของยางด้วย หากเป็นยางประเภทสปอร์ต เนื้อนิ่ม เกาะถนนแน่ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอายุการใช้งานที่สั้น ในทางกลับกัน ยางทัวริ่ง เนื้อยางแข็ง เน้นอายุการใช้งานที่ยาวนาน ก็ต้องแลกกับการยึดเกาะที่น้อยลงไป

แต่ในบทความนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องของ “ราคา” หรือ “เกรด” ของยาง เนื่องจากเป็นเรื่องของการใช้จ่าย ซึ่งแต่ละคนมีกำลังซื้อไม่เท่ากัน ยิ่งยางในสมัยนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ราคาเส้นนึงเฉียดหมื่นเข้าไปแล้ว หากพูดแค่ว่า ให้ซื้อยางแพงๆ ใส่ ใครๆ ก็รู้ว่ามันต้องดีกว่ายางถูกๆ แหละจริงไหม?

ฉะนั้นเราจะตัดเรื่องราคาออกไป แล้วมาดูอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ทุกคนอาจมองข้ามไป คือ “ลมยาง” ว่าเราควรใช้ความดันลมยางเท่าไหร่ ที่จะทำให้ยางของเรานั้นยึดเกาะถนนได้ดี และเหมาะสมกับการใช้งาน

โดยก่อนจะพูดถึงลมยาง เรามารู้จักกับชนิดของยางกันก่อน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1.ยางแบบใช้ยางใน
2.ยางแบบไม่ต้องใช้ยางใน หรือ ยาง Tubeless
โดยในปัจจุบันยางที่ใช้ในรถบนถนนเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่มที่ 2 และมีบางกลุ่มที่ยังใช้ยางแบบใช้ยางในอยู่ ซึ่งยาง 2 ชนิดนี้ก็มีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกัน

โดยยางแบบต้องใช้ยางในนั้น ถูกใช้กันมาก่อนที่จะมียาง Tubeless โดยมีข้อดีคือราคาถูก น้ำหนักเบา สามารถเติมลมยางอ่อนมากๆ ได้ในสถานการณ์ที่ต้องการ ยางนอกก็ไม่หลุดไปไหน เนื่องจากมีตัวล็อคยางไว้กับขอบล้อและลมถูกเก็บไว้ในยางใน แต่มีข้อเสียคือ ด้วยความที่ใช้ยางใน ทำให้หากโดนตะปูหรือของมีคมแล้ว ยางในจะเกิดการระเบิด ทำให้ไม่สามารถขี่ต่อได้ และอาจทำให้เกิดความสูญเสียถึงชีวิตได้

สำหรับยาง Tubeless จะค่อนข้างแตกต่างจากยางแบบใช้ยางใน ยางชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่ามาก มีน้ำหนักมากกว่า ขณะขับขี่เกิดความร้อนน้อยกว่า เนื่องจากไม่เกิดการเสียดสีระหว่างยางในกับยางนอก ทำให้โอกาสยางระเบิดมีน้อยกว่า และที่สำคัญคือในกรณีโดนตะปูหรือของมีคมแทงแล้วจะไม่เกิดการระเบิด ลมยางจะค่อยๆ รั่วออกช้าๆ สามารถเติมลมและประคองรถไปหาที่ปะยางได้ แต่ก็มีจุดด้อยคือไม่สามารถใช้ความดันลมยางอ่อนมากๆ ได้ เนื่องจากยางชนิดนี้ต้องอาศัยแรงดันลมภายในยางในการทำให้ขอบยางยึดติดอยู่กับขอบล้อ

ลมยางกับการใช้งาน

เกริ่นมาซะยาว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า “ลมยาง เติมตามคู่มือดีที่สุดจริงหรือ? ถ้าไม่ เติมเท่าไหร่ดี?”

ลมยาง คือสิ่งที่สร้างแรงดันอยู่ภายในยาง ช่วยให้ยางคงรูป มีความแข็งแรง พอที่จะรองรับน้ำหนักรถและผู้ขับขี่ หลักการพื้นฐานของการเลือกใช้ความดันลมยางที่ง่ายที่สุดคือ “น้ำหนัก” เนื่องจากน้ำหนักที่มาก ทำให้โครงสร้างยางถูกกดทับมาก เราจึงต้องใช้แรงดันลมยางที่แข็ง เพื่อช่วยประคองโครงสร้างยางไว้ไม่ให้ถูกน้ำหนักกดทับจนเสียรูปทรง ซึ่งความดันลมยางปกติที่ใช้กันบนท้องถนนสำหรับรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ทั่วไปตามคู่มือแนะนำจะอยู่ที่ 28-40 PSI แต่ทั้งนี้ตัวเลขเหล่านี้นั้นไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป มันสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์, การใช้งาน หรือ ความชอบส่วนบุคคลได้ เรามาดูกันว่าการใช้งานแบบไหน ควรใช้ลมยางเท่าไหร่บ้างกัน

คู่มือแนะนำเติมลมยางแข็งขึ้น กรณีมีคนซ้อน

ใช้งานทั่วไปบนท้องถนน

สำหรับการใช้งานทั่วไปบนท้องถนนนั้น สามารถเติมตามคู่มือติดรถ หรือคำแนะนำของบริษัทยางได้เลย เนื่องจากตัวเลขตามคู่มือนี้เป็นตัวเลขที่วิศวกรนั้นคำนวณมาแล้วว่า เป็นแรงดันที่ปลอดภัย ครอบคลุมการใช้งานทั่วไป สามารถรองรับการบรรทุกน้ำหนัก(ที่ไม่มากจนเกินไป)ได้ ให้การเกาะถนนและความประหยัดน้ำมันที่พอดี แต่หากปกติแล้วผู้ใช้นั้นมีการบรรทุกน้ำหนักมาก หรือพาเพื่อนฝูงไปแฮ้งเอ๊าท์กันเต็มคันเป็นประจำ ก็สามารถเติมลมเพิ่มจากคู่มือสักเล็กน้อยได้ เพื่อไม่ให้แก้มยางถูกน้ำหนักกดทับมากจนเสียรูปทรง หรือสำหรับผู้ที่ปกติเดินทางคนเดียว และต้องการความนุ่มนวล ก็อาจเลือกปรับลดแรงดันลมยางจากคู่มือได้เช่นกัน

ออกทริป เดินทางไกลลล~

สำหรับการเดินทางไกลนั้น เราควรจะเติมลมยางแข็งกว่าปกติ สาเหตุเพราะปกติเวลารถวิ่ง โครงสร้างยางถูกแรงกระทำทำให้เกิดการขยับตัวไปมาก่อให้เกิดความร้อนสะสม โดยในกรณีเดินทางไกลจะเกิดความร้อนสะสมมากกว่าปกติ เพราะใช้ความเร็วที่สูงและการขับขี่เป็นระยะเวลานาน ซึ่งความร้อนสะสมนี้จะทำให้ยางหมดไว และมีโอกาสเกิดระเบิดขึ้นได้ เราจึงควรเติมลมยางแข็งกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อลดการขยับตัวของโครงสร้างยาง จะสามารถช่วยลดความร้อนสะสมได้ อีกทั้งลมยางที่แข็งจะทำให้หน้าสัมผัสของยางลดน้อยลง(คือเกาะถนนน้อยลงนั่นแหละ แต่ว่าการเดินทางไกลเราเน้นใช้ในทางตรง ไม่จำเป็นต้องใช้การยึดเกาะที่มากมาย) ซึ่งจะช่วยให้รถทำความเร็วได้ดีและประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย

สายเรซซิ่ง ซัดทุกโค้ง

สำหรับไบค์เกอร์ที่เป็นสายสปอร์ต เจอโค้งเป็นไม่ได้ต้องเอาอะไรเช็ดพื้นสักหน่อย ควรจะเติมลมยางอ่อนกว่าปกติ เพื่อเพิ่มผิวสัมผัส (Contact patch) ของหน้ายาง ทำให้มีการยึดเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้นทั้งในทางตรงและทางโค้ง แต่ข้อเสียของการใช้ลมยางอ่อนก็คือยางจะเกิดความร้อนสูง เนื่องจากโครงสร้างยางมีการขยับตัวมาก และทำให้ยางหมดไวกว่าปกติ

สายแบก อะไรหนักมาฝากที่พี่

สำหรับผู้ใช้รถในการบรรทุกของหนัก รวมถึงการมีคนซ้อน(ยิ่งถ้าคนขี่และคนซ้อนมีน้ำหนักตัวเยอะ) ควรจะเติมลมยางแข็งกว่าปกติ เพื่อช่วยพยุงโครงสร้างของยาง ไม่ให้ถูกน้ำหนักกดทับจนเสียรูปทรง การบรรทุกของหนักมากๆ และใช้ลมยางอ่อน จะทำให้โครงสร้างยางเสียหาย ความร้อนสะสมสูง และอาจเกิดยางระเบิดขึ้นได้

สายฝุ่น ถนนดีๆข้าไม่ชอบ

สำหรับสายฝุ่น ที่ไม่ชอบขี่บนถนนธรรมดา ต้องบุกป่าฝ่าดงสิ ถึงจะมันส์ ควรเติมลมยางอ่อนกว่าปกติ ทำให้ยางสามารถให้ตัวได้มาก เพื่อใช้ในการยึดเกาะพื้นผิวที่ไม่เรียบหรือปีนป่ายอุปสรรคต่างๆ และช่วยลดแรงกระแทกจากการขับขี่ให้เบาลง ในกลุ่มรถวิบากล้อซี่ลวดที่ใส่ยางแบบใช้ยางในอาจปล่อยลมจนเหลือเพียงแค่ 12 PSI ก็มี แต่ในกลุ่มยาง Tubeless ไม่สามารถใช้ลมยางที่อ่อนมากได้ เพราะมีโอกาสที่ยางจะหลุดออกมาจากขอบล้อ ทั้งนี้ทั้งนั้นในการขับขี่ทางฝุ่นทั่วไป อาจขับขี่ได้โดยปล่อยลมยางเล็กน้อย แต่หากเจอทางลุยหนักๆโหดๆ ยาง Tubeless และล้อแม็กซ์ จะไม่มีความยืดหยุ่นมากพอที่จะรองรับแรงกระแทก อาจเกิดอาการล้อดุ้ง ล้อแตกได้

หลักการง่ายๆ ในการปรับเพิ่ม-ลดลมยาง

ลมยางแข็ง :
– โครงสร้างยางคงรูป แข็งแรง สามารถบรรทุกของหนักได้
– การขับขี่กระด้างกว่าลมยางอ่อน
– ความร้อนสะสมน้อย
– ประหยัดน้ำมัน
– วิ่งทางตรงทำความเร็วได้ง่ายกว่า
– ยางหมดช้ากว่า

ลมยางอ่อน :
– โครงสร้างยางให้ตัวได้มากกว่า เพิ่มหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนน (เกาะถนนมากกว่า)
– นุ่มนวล
– ความร้อนสะสมมาก
– เปลืองน้ำมันมากกว่าลมยางแข็ง
– ยางหมดไวกว่า

สรุป

การเติมลมยางนั้นสามารถเติมตามคู่มือ หรือไม่ตามคู่มือก็ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่าต้องเติมเท่าไหร่จึงจะดีที่สุด ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานของเรา แน่นอนว่าการเติมลมยางตามคู่มือนั้นจะถูกคำนวณมาให้ปลอดภัยและครอบคลุมการใช้งานทั่วไปมากที่สุด แต่หากเรามีจุดประสงค์ของการใช้งานที่ชัดเจน เราก็สามารถเลือกที่จะปรับแรงดันลมยางให้เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่ของเราได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและสมรรถนะการยึดเกาะที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

Tips & Tricks

– การวัดลมยางนั้นควรวัดในขณะที่ยางเย็นอยู่ หรือเมื่อรถจอดไว้ไม่ได้ใช้งาน เนื่องจากหากเราขับรถออกไปแล้ว ยางจะเกิดความร้อน ส่งผลให้แรงดันภายในยางเพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดลมยางได้
– ควรมีเครื่องวัดลมยางเป็นของตัวเอง เนื่องจากหัววัดตามปั๊มแต่ละที่อาจมีความคลาดเคลื่อน ไม่เท่ากัน
– ยางแบบ Tubeless ไม่ควรเติมลมยางอ่อนกว่า 20 PSI เนื่องจากมีโอกาสที่ยางจะหลุดออกจากขอบล้อได้

สุดท้ายนี้ก่อนจากกัน ขอฝากผู้อ่านทุกท่านไว้ว่า การเลือกแรงดันลมยางไม่มีถูกไม่มีผิด และควรลองด้วยตนเองจะดีกว่าการปรับใช้ตามคนอื่น เนื่องจากความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน ออกไปลองขับและปรับดูทีละ 1-2 ปอนด์ แล้วจะรู้ว่าแบบไหนที่เราชอบครับ

cr.https://www.autospinn.com/2019/08/tyre-pressure-guide-57835

8 วิธีดูแลรถ เคล็ดลับการดูแลรักษารถเบื้องต้น ให้ใหม่อยู่เสมอ

เพราะการซื้อรถสักคันไม่ใช่เรื่องยาก แต่การดูแลรักษารถให้อยู่คู่กับเราและรองรับการใช้งานได้ยาวนานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

มีคำแนะนำและวิธีการดูแลรักษารถมากมายที่อาจทำหลายคนสับสนและรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะเริ่มลงมือทำจริงจัง วันนี้เราขอแนะนำเคล็ดลับเบื้องต้น สั้นๆ ง่ายๆ ในการทำให้รถคู่ใจของผู้อ่านดูใหม่อยู่เสมอมา จะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันเลย

8 วิธีดูแลรถ ให้ใหม่อยู่เสมอ  

1. ขับขี่อย่างนุ่มนวล

การขับขี่รถอย่างนุ่มนวล ทั้งการออกตัวที่ไม่กระโชกโฮกฮากและการเว้นระยะเบรกอย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยรักษาความสมบูรณ์ของตัวรถให้คงอยู่ยาวนานเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุด้วย

2. ล้างรถสัปดาห์ละครั้ง

การล้างรถช่วยให้ตัวรถดูสะอาดน่าใช้ พร้อมกับชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนและฝังอยู่ในร่องหลืบที่เรามองไม่เห็น ควรทำความสะอาดภายในห้องโดยสารให้สะอาดเอี่ยมด้วยเช่นกัน

พรมปูพื้นควรนำออกมาล้างและตากแดดเป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งหมักหมมและเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ ไม่ควรลืมลงแว็กซ์รถให้ทั่วเพื่อรักษาคุณภาพสีรถให้สวยเงางามหลายปี

3. จอดรถในร่ม

พยายามหาที่จอดรถในร่มเพื่อรักษาสีของตัวรถและปกป้องห้องโดยสารจากแสงแดดที่แผดเผาของบ้านเรา ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจใช้แผงกันแดดปิดบังคอนโซลไว้เพื่อป้องกันความเสียหายของวัสดุพลาสติก

4. เช็คระยะสม่ำเสมอ

ความสำคัญของการเข้าเช็คระยะตามกำหนด คือการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและตรวจสอบชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นทั้งกับรถใหม่และรถมือสอง ช่วยยืดอายุการใช้งานตัวรถและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่

5. ดูแลยางรถยนต์

ตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอโดยเติมลมยางตามคู่มือรถอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งไม่เพียงจะให้ความปลอดภัยในการขับขี่เท่านั้น แต่ยังช่วยประหยัดน้ำมันด้วย

6. ล้างห้องเครื่องยนต์

ล้างห้องเครื่องยนต์อย่างน้อยปีละครั้ง เพราะเครื่องยนต์ที่สะอาดจะมีอุณหภูมิการทำงานที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ที่สกปรก

นอกจากนี้ยังช่วยให้เราสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่ามีชิ้นส่วนใดเสียหายบ้าง โดยอาจทำความสะอาดด้วยตนเองก็ได้แต่ควรระมัดระวังชิ้นส่วนสำคัญอย่างกรองอากาศ สายไฟและชิ้นส่วนที่เกี่ยวกับระบบอิเลกทรอนิก

7. เปลี่ยนหัวเทียน

หลายค่ายรถแนะนำให้เปลี่ยนหัวเทียนทุก 50,000 กม. ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราความประหยัดน้ำมันและสมรรถนะเครื่องยนต์

8. ดูแลรักษาแบตเตอรี่

ถึงแม้แบตเตอรี่ในรถของคุณจะเป็นแบบ maintenance free หรือไม่จำเป็นต้องดูแลรักษา แต่ก็ควรตรวจสอบสภาพตัวแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุการใช้งาน โดยควรทำความสะอาดให้ใหม่อยู่ตลอดเวลาและตรวจดูว่ามีความเสียหายใดๆ หรือไม่

cr.https://www.autospinn.com/2015/05/8-tips-maintanance-for-cars

check-credit