เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

Author: admin

เครื่องหมายจราจร ความหมายของป้ายจราจรแบบต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ถนนควรรู้

รวมความหมายของป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร แบบต่าง ๆ ที่ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์และผู้สัญจรบนท้องถนนควรรู้ สัญลักษณ์จราจรแต่ละแบบที่อยู่บนพื้นถนนมีความหมายว่าอย่างไร มาดูกัน

เครื่องหมายจราจร นับเป็นสิ่งใกล้ตัวเราอย่างมากในชีวิตประจำวัน เพราะคนเราทุกวันนี้ต้องใช้รถ ใช้ถนน ในการเดินทางไปไหนมาไหน ดังนั้นแล้วการศึกษาเรื่อง เครื่องหมายจราจร หรือ ป้ายจราจร จึงเป็นเรื่องที่ควรจะทำ ไม่เพียงแต่เฉพาะผู้ที่ใช้รถเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกัน ควรจะเรียนรู้ สัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร วันนี้กระปุกดอทคอม นำความรู้เรื่อง เครื่องหมายจราจร และ สัญลักษณ์จราจร ต่าง ๆ มาฝากกัน

เครื่องหมายจราจรและความหมาย

เครื่องหมายจราจร (Traffic Sign) หมายถึง สัญลักษณ์ทางจราจรที่ใช้ในการควบคุมการจราจร มักเป็นสัญญาณแสงหรือป้าย มักมีจุดประสงค์เพื่อ กำหนดบังคับการเคลื่อนตัวของจราจร การจอด หรืออาจเป็นการเตือน หรือแนะนำทางจราจร ดังนี้

1. สัญญาณไฟจราจร

สัญญาณไฟจราจร โดยทั่วไปประกอบด้วยสัญญาณไฟ 3 สี ติดตั้งตามทางแยกต่าง ๆ เพื่อควบคุมการจราจรตามทางแยก โดยทั้ง 3 สี ได้แก่ สีแดง ให้รถหยุด สีเหลือง ให้รถระวัง เตรียมหยุด และสีเขียว คือให้รถไปได้ สำหรับสัญญาณไฟจราจรพิเศษอาจมีสีเหลืองเพียงสีเดียวจะกะพริบอยู่ ใช้สำหรับทางแยกที่ไม่พลุกพล่าน หมายถึง ให้ระมัดระวังว่ามีทางแยก และดูความเหมาะสมในการออกรถได้เอง หรือสัญญาณไฟจราจรสำหรับการข้ามถนน หรือสัญญาณไฟจราจรไว้สำหรับเปลี่ยนเลน เป็นต้น

2. ป้ายจราจร 

          ป้ายจราจร เป็นป้ายทางการควบคุมการจราจร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

 – เครื่องหมายจราจร ป้ายบังคับ มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีแดง เป็นป้ายกำหนดต้องทำตาม เช่น ห้ามเลี้ยวขวา

– เครื่องหมายจราจร ป้ายเตือน มักจะมีพื้นสีขาว ขอบสีดำ จะเป็นป้ายแจ้งเตือนว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้า

 – เครื่องหมายจราจร ป้ายแนะนำ เป็นป้ายที่แนะนำการเดินทางต่าง ๆ อาทิ ทางลัด ป้ายบอกระยะทาง เป็นต้น

3. เครื่องหมายจราจรอื่น ๆ

เครื่องหมายจราจร เครื่องหมายบนพื้นทางและขอบทางเท้า

เครื่องหมายจราจร ประเภทป้ายบังคับ 1 และรูปภาพเครื่องหมายจราจร

แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

  1. ป้ายบังคับที่แสดงความหมายตามรูปแบบและลักษณะที่กำหนด

          2. ป้ายบังคับที่แสดงด้วยข้อความ และ/หรือสัญลักษณ์

1. “หยุด”

ความหมาย รถทุกชนิดต้องหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง

2. “ให้ทาง”

ความหมาย รถทุกชนิดต้องระมัดระวังและให้ทางแก่รถและคนเดินเท้าในทางขวางหน้าผ่านไป ก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรที่บริเวณทางแยกนั้นแล้ว จึงให้เคลื่อนรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง

3. “ให้รถสวนทางมาก่อน”

ความหมาย ให้ผู้ขับรถทุกชนิดหยุดรถตรงป้าย เพื่อให้รถที่กำลังแล่นสวนทางมาก่อน ถ้ามีรถข้างหน้าหยุดรออยู่ก่อนก็ให้หยุดรถรอถัดต่อกันมาตามลำดับ เมื่อรถที่สวนทางมาได้ผ่านไปหมดแล้ว จึงให้รถที่หยุดรอตามป้ายนี้เคลื่อนไปได้

4. “ห้ามแซง”

ความหมาย ห้ามมิให้ขับรถแซงขึ้นหน้ารถคันอื่นในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

5. “ห้ามเข้า”

ความหมาย ห้ามมิให้รถทุกชนิดเข้าไปในทางที่ติดตั้งป้าย

 6. “ห้ามกลับรถไปทางขวา”

ความหมาย ห้ามมิให้กลับรถไปทางขวาไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 7. “ห้ามกลับรถไปทางซ้าย”

ความหมาย ห้ามมิให้กลับรถไปทางซ้ายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 8. “ห้ามเลี้ยวซ้าย” 

ความหมาย ห้ามมิให้เลี้ยวรถไปทางซ้าย

 9. “ห้ามเลี้ยวขวา” 

ความหมาย ห้ามมิให้เลี้ยวรถไปทางขวา

  10. “ห้ามรถยนต์” 

ความหมาย ห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 11. “ห้ามรถบรรทุก” 

ความหมาย ห้ามรถบรรทุกทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

12. “ห้ามรถจักรยานยนต์”

ความหมาย ห้ามรถจักรยานยนต์ผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

13. “ห้ามรถยนต์สามล้อ”

ความหมาย ห้ามรถยนต์สามล้อผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 14. “ห้ามรถสามล้อ” 

ความหมาย ห้ามรถสามล้อผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

15. “ห้ามรถจักรยาน” 

ความหมาย ห้ามรถจักรยานผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

  16. “ห้ามล้อเลื่อนลากเข็น”

ความหมาย ห้ามล้อเลื่อนลากเข็นผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 17. “ห้ามรถยนต์ที่ใช้ในการเกษตร”

ความหมาย ห้ามรถยนต์ที่ใช้ในการเกษตรทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

18. “ห้ามรถจักรยานยนต์และรถยนต์”

ความหมาย ห้ามรถจักรยานยนต์และรถยนต์ทุกชนิดผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 19. “ห้ามรถจักรยาน รถสามล้อ รถจักรยานยนต์”

ความหมาย ห้ามรถจักรยาน รถสามล้อ รถจักรยานยนต์ ผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 20. “ห้ามใช้เสียง”

ความหมาย ห้ามมิให้ใช้เสียงสัญญาณหรือทำให้เกิดเสียงที่ก่อการรบกวนด้วยประการใด ๆ ในเขตที่ติดตั้งป้าย

 21. “ห้ามคน”

ความหมาย ห้ามคนผ่านเข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 22. “ห้ามจอดรถ”

ความหมาย ห้ามมิให้จอดรถทุกชนิดระหว่างแนวนั้น เว้นแต่การรับ-ส่งคน หรือสิ่งของชั่วขณะ ซึ่งต้องกระทำโดยมิชักช้า

 23. “ห้ามหยุดรถ”

ความหมาย ห้ามมิให้หยุดรถหรือจอดรถทุกชนิดตรงแนวนั้นเป็นอันขาด

 24. “หยุดตรวจ”

ความหมาย ให้ผู้ขับรถหยุดรถที่ป้ายนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจและเคลื่อนรถต่อไปได้เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจแล้วเท่านั้น

 25. “จำกัดความเร็ว”

ความหมาย ห้ามมิให้ผู้ขับรถทุกชนิดใช้ความเร็วเกินกว่าที่กำหนดเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามจำนวนตัวเลขในแผ่นป้ายนั้น ๆ ในเขตทางที่ติดตั้งป้าย จนกว่าจะพ้นที่สุดระยะที่จำกัดความเร็วนั้น

26. “ห้ามรถหนักเกินกำหนด”

ความหมาย ห้ามมิให้รถทุกชนิดที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่กำหนดหรือเมื่อรวมน้ำหนักรถกับน้ำหนักบรรทุก เกินกว่าที่กำหนดไว้เป็น “ตัน” ตามจำนวนเลขในเครื่องหมายนั้น ๆ เข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 27. “ห้ามรถกว้างเกินกำหนด”

ความหมาย ห้ามมิให้รถทุกชนิดที่มีขนาดกว้างเกินกำหนดเป็น “เมตร” ตามจำนวนเลขในเครื่องหมายนั้น เข้าไปในเขตทางที่ติดตั้งป้าย

 28. “ห้ามรถสูงเกินกำหนด”

ความหมาย ห้ามมิให้รถทุกชนิดที่มีความสูงของรถรวมทั้งของที่บรรทุกเกินกว่ากำหนดเป็น “เมตร” ตามจำนวนเลขในเครื่องหมาย เข้าไปในเขตทางหรืออุโมงค์ที่ติดตั้งป้าย

 29. “ให้เดินรถทางเดียวไปข้างหน้า”

ความหมาย ให้ขับรถตรงไปตามทิศทางที่ป้ายกำหนด

 30. “ทางเดินรถทางเดียวไปทางซ้าย”

ความหมาย ให้ขับรถไปทางซ้ายแต่ทางเดียว

 31. “ทางเดินรถทางเดียวไปทางขวา”

ความหมาย ให้ขับรถไปทางขวาแต่ทางเดียว

 32. “ให้ชิดซ้าย”25. “จำกัดความเร็ว”

ความหมาย ให้ขับรถผ่านไปทางซ้ายของป้าย

 33. “ให้ชิดขวา” 

ความหมาย ให้ขับรถผ่านไปทางขวาของป้าย

 34. “ให้เลี้ยวซ้าย”

ความหมาย ให้ขับรถเลี้ยวไปทางซ้ายแต่ทางเดียว

 35. “ให้เลี้ยวขวา”

ความหมาย ให้ขับรถเลี้ยวไปทางขวาแต่ทางเดียว

 36. “ให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา”

ความหมาย ให้ขับรถไปทางซ้ายหรือไปทางขวา

 37. “ให้ไปทางซ้ายหรือทางขวา”

ความหมาย ให้ขับรถผ่านไปทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวาของป้าย

38. “วงเวียน”

ความหมาย ให้รถทุกชนิดเดินวนทางซ้ายของวงเวียน และรถที่เริ่มจะเข้าสู่ทางร่วมบริเวณวงเวียนต้องหยุดให้สิทธิแก่รถที่แล่นอยู่ในทางรอบวงเวียนไปก่อน ห้ามขับรถแทรกหรือตัดหน้ารถที่อยู่ในทางรอบบริเวณวงเวียน

39. “สุดเขตบังคับ”

ความหมาย พ้นสุดระยะที่บังคับตามความหมายของป้ายบังคับที่ติดตั้งไว้ก่อน

เครื่องหมายจราจร ประเภทป้ายบังคับ 2 และรูปภาพเครื่องหมายจราจร

1. ให้รถตรงไป

หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถตรงไปตามทิศทางที่ป้ายกำหนด เป็นทางเดินรถทางเดียวเท่านั้น ห้ามมิให้ไปทางซ้ายหรือไปทางขวา

 2. ทางเดินรถทางเดียวไปทางซ้าย

หมายความว่า ทางข้างหน้าเป็นทางบังคับให้เดินรถทางเดียวไปทางซ้ายเท่านั้น

 3. ทางเดินรถทางเดียวไปทางขวา

หมายความว่า ทางข้างหน้าเป็นทางบังคับให้เดินรถทางเดียวไปทางขวาเท่านั้น ห้ามมิให้ขับรถไปทางซ้าย

4. ให้ชิดซ้าย

หมายความว่า ให้ขับรถไปทางด้านซ้ายของเครื่องหมาย

 5. ให้ชิดขวา

หมายความว่า ให้ขับรถไปทางด้านขวาของเครื่องหมาย

 6. ให้ไปทางซ้ายหรือทางขวา

หมายความว่า ให้ขับรถผ่านไปทางด้านซ้ายหรือทางด้านขวาของป้าย

 7. ให้เลี้ยวซ้าย

หมายความว่า ให้ขับรถเลี้ยวไปทางซ้ายแต่ทางเดียว

 8. ให้เลี้ยวขวา

หมายความว่า ให้ขับรถเลี้ยวไปทางขวาแต่ทางเดียว

 9. ให้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา

หมายความว่า ให้ขับรถไปทางซ้ายหรือไปทางขวา

 10. ให้ตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย

หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถตรงไปหรือเลี้ยวไปทางซ้ายเท่านั้น

  11. ให้ตรงไปหรือเลี้ยวขวา

หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องขับรถตรงไปหรือเลี้ยวไปทางขวาเท่านั้น

 12. วงเวียน

หมายความว่า ให้รถทุกชนิดเดินวนทางซ้ายของวงเวียน และรถที่เริ่มจะเข้าสู่ทางร่วมบริเวณวงเวียนต้องหยุด ให้สิทธิแก่รถที่แล่นอยู่ในทางรอบวงเวียนไปก่อน ห้ามขับรถแทรกหรือตัดหน้ารถที่อยู่ในทางรอบบริเวณวงเวียน

 13. ช่องเดินรถประจำทาง

หมายความว่า ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็นช่องเดินรถประจำทาง

 14. ช่องเดินรถมวลชน

หมายความว่า ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็นช่องเดินรถมวลชน และให้ใช้ได้เฉพาะรถที่มีจำนวนคนบนรถไม่น้อยกว่าตัวเลขที่ระบุในป้าย

 15. ช่องเดินรถจักรยานยนต์

หมายความว่า ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็นช่องเดินรถจักรยานยนต์

16. ช่องเดินรถจักรยาน

หมายความว่า ช่องเดินรถที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้เป็นช่องเดินรถจักรยาน

 17. เฉพาะคนเดิน

หมายความว่า บริเวณที่ติดตั้งป้ายเป็นบริเวณที่กำหนดให้ใช้ได้เฉพาะคนเดินเท้าเท่านั้น

 18. ความเร็วขั้นต่ำ

หมายความว่า บริเวณที่ต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่าที่กำหนดเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามจำนวนตัวเลขที่ระบุในป้าย

เครื่องหมายจราจร ประเภทเตือน

แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ

1. ป้ายเตือนตามรูปแบบและลักษณะที่กำหนด

           2. ป้ายเตือนที่แสดงด้วยข้อความ และ/หรือสัญลักษณ์

           3. ป้ายเตือนในงานก่อสร้างต่าง ๆ

1. “ทางโค้งซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

 2.  “ทางโค้งขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความระมัดระวัง

3. “ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

4. “ทางโค้งรัศมีแคบเลี้ยวขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความระมัดระวัง

5. “ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางซ้ายแล้วกลับ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความระมัดระวัง

 6. “ทางโค้งรัศมีแคบเริ่มขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้าโค้งรัศมีแคบไปทางขวาแล้วกลับ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านขวาด้วยความระมัดระวัง

7. “ทางคดเคี้ยวเริ่มซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางซ้าย ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

 8. “ทางคดเคี้ยวเริ่มขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยวโดยเริ่มไปทางขวา ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควร และเดินรถชิดด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

9. “ทางเอกตัดกัน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางเอกตัดกัน ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

 10. “ทางเอกตัดกันรูปตัววาย” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางเอกตัดกันเป็นรูปตัววาย ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

11. “ทางโทแยกทางเอกทางซ้าย” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางแยกไปทางซ้าย ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

12. “ทางโทแยกทางเอกทางขวา” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางแยกไปทางขวา ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

13. “ทางโทแยกทางเอกเยื้องกันเริ่มซ้าย” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทแยกไปทางซ้ายและหลังจากนั้นมีทางโทแยกไปทางขวา ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

14. “ทางโทแยกทางเอกเยื้องกันเริ่มขวา” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทแยกไปทางขวาและหลังจากนั้นมีทางโทแยกไปทางซ้าย ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

15. “ทางโทเชื่อมทางเอกจากซ้าย” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทเข้ามาเชื่อมด้านซ้าย ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

16. “ทางโทเชื่อมทางเอกจากขวา” 

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางโทเข้ามาเชื่อมด้านขวา ให้ขับรถด้วยความระมัดระวัง

17. “วงเวียนข้างหน้า”  

ความหมาย ทางข้างหน้าจะเป็นทางแยกมีวงเวียน ให้ขับรถให้ช้าลง และเดินรถด้วยความระมัดระวัง

18. “ทางแคบลงทั้งสองด้าน”  

ความหมาย ทางข้างหน้าแคบลงกว่าทางที่กำลังผ่านทั้งสองด้าน ผู้ขับรถจะต้องขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น ขณะที่รถผ่านทางแคบ ผู้ขับรถจะต้องระมัดระวังมิให้รถชนหรือเสียดสีกัน

 19. “ทางแคบด้านซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้าด้านซ้ายแคบลงกว่าทางที่กำลังผ่าน ผู้ขับรถต้องขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น

  20. “ทางแคบด้านขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้าด้านขวาแคบลงกว่าทางที่กำลังผ่าน ผู้ขับรถต้องขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น

21. “สะพานแคบ”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีสะพานแคบ รถเดินหลีกกันไม่ได้ ให้ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายจากรถที่จะสวนมาจากอีกฝ่ายหนึ่งของสะพาน ถ้ามีป้ายอื่นติดตั้งอยู่ ก็ให้ปฏิบัติตามป้ายนั้น ๆ ด้วย

          ความหมาย ทางข้างหน้ามีสะพานแคบ รถเดินหลีกกันไม่ได้ ให้ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายจากรถที่จะสวนมาจากอีกฝ่ายหนึ่งของสะพาน ถ้ามีป้ายอื่นติดตั้งอยู่ ก็ให้ปฏิบัติตามป้ายนั้น ๆ ด้วย
 22. “ทางข้ามทางรถไฟไม่มีเครื่องกั้นทาง”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางรถไฟตัดผ่านและไม่มีเครื่องกั้นทาง ให้ขับรถให้ช้าลงให้มาก และสังเกตดูรถไฟทั้งทางขวาและทางซ้าย ถ้ามีรถไฟกำลังจะผ่านมาให้หยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟอย่างน้อย 5 เมตร แล้วรอคอยจนกว่ารถไฟนั้นผ่านพ้นไปและปลอดภัยแล้ว จึงเคลื่อนรถต่อไปได้ ห้ามมิให้ขับรถตัดหน้ารถไฟในระยะที่อาจจะเกิดอันตรายได้เป็นอันขาด

  23. “ทางข้ามทางรถไฟมีเครื่องกั้นทาง”

ความหมาย หน้าที่กั้นทาง หรือมีเครื่องกั้นทางปิดกั้น ถ้ามีรถข้างหน้าหยุดรออยู่ก่อน ก็ให้หยุดรถถัดต่อมาตามลำดับ เมื่อเปิดเครื่องกั้นทางแล้วให้รถที่หยุดรอเคลื่อนที่ตามกันได้

24. “ทางขึ้นลาดชัน”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางลาดชันขึ้นเขาหรือขึ้นเนิน สันเขา หรือสันเนิน อาจกำบังสายตาไม่ให้มองเห็นรถที่สวนมา ให้ขับรถให้ช้าลง และเดินรถใกล้ขอบทางด้านซ้ายให้มาก กับให้ระมัดระวังอันตรายจากรถที่สวนทางมา

25. “ทางลงลาดชัน”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางลาดลงเขาหรือลงเนิน ให้ขับรถให้ช้าลง เดินรถใกล้ขอบทางด้านซ้ายให้มาก และผู้ขับรถไม่ควรปลดเกียร์หรือดับเครื่องยนต์เป็นอันขาดในกรณีที่เป็นทางลงเขา หรือเนินที่ชันมาก ให้ใช้เกียร์ต่ำเพื่อความปลอดภัย

26. “เตือนรถกระโดด”

ความหมาย ทางข้างหน้าเปลี่ยนระดับอย่างกะทันหัน เช่น บริเวณคอสะพาน ทางข้ามท่อระบายน้ำ และสันชะลอความเร็ว เป็นต้น ให้ขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง

27. “ผิวทางขรุขระ”

ความหมาย ทางข้างหน้าขรุขระมาก มีหลุม มีบ่อ หรือเป็นสันติดต่อกัน ให้ขับรถให้ช้าลง และเพิ่มความระมัดระวัง

28. “ทางลื่น”

ความหมาย ทางข้างหน้าลื่นเมื่อผิวทางเปียกอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ให้ขับรถให้ช้าลงให้มาก และระมัดระวังการลื่นไถล อย่าใช้ห้ามล้อโดยแรงและทันที การหยุดรถ การเบารถ หรือเลี้ยวรถในทางลื่น ต้องกระทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ

29. “ผิวทางร่วน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีวัสดุผิวทางหลุดกระเด็น เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงให้ขับให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายอันอาจเกิดจากวัสดุผิวทาง

30. “สะพานเปิดได้”

ความหมาย ทางข้างหน้าจะต้องผ่านสะพานที่สามารถเปิดให้เรือลอด ให้ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังในการหยุดรถ เมื่อเจ้าหน้าที่จะปิดกั้นทางเพื่อเปิดสะพานให้เรือผ่านเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อรถข้างหน้าและรถข้างหลัง

31. “ทางร่วม”

ความหมาย ทางข้างหน้าจะมีรถเข้ามาร่วมในทิศทางเดียวกันจากทางซ้ายหรือทางขวาตามลักษณะสัญลักษณ์ในป้าย ผู้ขับรถจะต้องขับรถให้ช้าลง และเดินรถด้วยความระมัดระวัง

  32. “ทางคู่ข้างหน้า”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางคู่มีเกาะหรือสิ่งอื่นใดแบ่งการจราจรออกเป็นสองทาง ไปทางหนึ่ง มาทางหนึ่ง ให้ขับรถชิดไปทางด้านซ้ายด้วยความระมัดระวัง

33. “สิ้นสุดทางคู่”

ความหมาย ทางข้างหน้าเป็นทางร่วมที่ไม่มีเกาะหรือสิ่งอื่นใดแบ่งการจราจร ให้ขับรถช้าลงและชิดด้านซ้ายของทาง และเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น

34. “จุดกลับรถ”

ความหมาย ทางข้างหน้าจะมีที่กลับรถ

35. “สัญญาณจราจร”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีสัญญาณไฟจราจร ให้ขับรถช้าลง และพร้อมที่จะปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร

36. “หยุดข้างหน้า”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีเครื่องหมายหยุดติดตั้งอยู่ ให้ผู้ขับรถเตรียมพร้อมที่จะหยุดรถได้ทันทีเมื่อขับรถถึงป้ายหยุด

37. “ระวังคนข้ามถนน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีทางสำหรับคนข้ามถนนหรือมีหมู่บ้านราษฎรอยู่ข้างทาง ซึ่งมีคนเดินข้ามไป-มาอยู่เสมอ ให้ขับรถให้ช้าลงพอสมควรและระมัดระวังคนข้ามถนน ถ้ามีคนกำลังเดินข้ามถนนให้หยุดรถให้คนเดินข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย

38. “ระวังคนข้ามถนน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีโรงเรียนตั้งอยู่ข้างทาง ให้ขับรถให้ช้าลงและระมัดระวังอุบัติเหตุซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแก่เด็กนักเรียน ถ้ามีเด็กนักเรียนกำลังเดินข้ามถนนให้หยุดรถให้เด็กนักเรียนข้ามถนนไปได้โดยปลอดภัย ถ้าเป็นเวลาที่โรงเรียนกำลังสอน ให้งดใช้เสียงสัญญาณ และห้ามทำให้เกิดเสียงรบกวนด้วยประการใด ๆ

39. “ระวังสัตว์”

ความหมาย ทางข้างหน้าอาจมีสัตว์ข้ามทาง ให้ขับรถให้ช้าลง และระมัดระวังอันตรายเป็นพิเศษ

40. “ระวังอันตราย”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีอันตราย เช่น เกิดอุบัติเหตุ ทางทรุด เป็นต้น ให้ขับรถให้ช้าลงให้มาก และระมัดระวังอันตรายเป็นพิเศษ

41. “เขตห้ามแซง”

ความหมาย ใช้ติดตั้งทางด้านขวาของทาง หมายความว่า ทางช่วงนั้นมีระยะมองเห็นจำกัด ผู้ขับรถไม่สามารถมองเห็นรถที่สวนมาในระยะที่จะแซงรถอื่นได้

 42. “เครื่องหมายลูกศรคู่”

ความหมาย มีเกาะหรือสิ่งกีดขวางอยู่กลางทางจราจร ยวดยานสามารถผ่านไปได้ทั้งทางซ้ายและทางขวาของป้าย

 43. “อุบัติเหตุข้างหน้า”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น อาจมียวดยานหรือสิ่งอื่นกีดขวางทางจราจร

44. “ทางเบี่ยงซ้าย”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีการก่อสร้างทางหลวง การจราจรจะต้องเปลี่ยนแนวทางไปใช้ทางเบี่ยงหรือทางชั่วคราวทางด้านซ้าย

45. “ทางเบี่ยงขวา”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีการก่อสร้างทางหลวง การจราจรจะต้องเปลี่ยนแนวทางไปใช้ทางเบี่ยงหรือทางชั่วคราวทางด้านขวา

46. “เครื่องจักรกำลังทำงาน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีเครื่องจักรกำลังทำงานอยู่ข้างทาง และล้ำเข้ามาในผิวจราจร หรือใกล้ผิวจราจรเป็นครั้งคราว

47. “คนทำงาน”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีคนงานกำลังทำงานอยู่บนผิวจราจรหรือใกล้ชิดกับผิวจราจร

 48. “สำรวจทาง”

ความหมาย ทางข้างหน้ามีเจ้าหน้าที่กำลังทำการสำรวจทางอยู่บนผิวจราจรหรือใกล้ชิดกับผิวจราจร

เครื่องหมายจราจร ประเภทเครื่องหมายบนพื้นทาง

1. เส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 200 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 200 เซนติเมตร)

ความหมาย ให้ขับรถในด้านซ้ายเลี้ยวขวาหรือแซงหน้ารถคันอื่นได้เมื่อปลอดภัย

2. เส้นแบ่งทิศทางจราจรเตือน (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ยาว 300 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 100 เซนติเมตร)

ความหมาย ให้ทราบว่าจะถึงเขตทางข้าม แยก เขตห้ามแซง เว้นแต่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ หรือกลับรถ ขับข้ามเส้นได้แต่ต้องระวังเป็นพิเศษ (สังเกตดูจะเห็นว่าเส้นจะยาวกว่าเส้นแบ่งทิศทางจราจรปกติ)

3. เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซง (เส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร)

ความหมาย ห้ามแซงหรือขับรถผ่านคร่อมเส้นโดยเด็ดขาด

4. เส้นแบ่งทิศทางจราจรคู่ (เส้นประคู่เส้นทึบ) (เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ขนานไปกับเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 200 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 200 เซนติเมตร เส้นทั้งสองมีระยะห่างกัน 15 เซนติเมตร)

ความหมาย รถทางเส้นประอาจข้ามหรือแซงได้เมื่อปลอดภัย

5. เส้นแบ่งทิศทางจราจรคู่ (เส้นทึบคู่เส้นประ) (เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ขนานไปกับเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 200 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 200 เซนติเมตร เส้นทั้งสองมีระยะห่างกัน 15 เซนติเมตร)

ความหมาย รถทางเส้นทึบห้ามแซง ขับรถผ่าน หรือคร่อมเส้นโดยเด็ดขาด

6. เส้นแบ่งทิศทางจราจรห้ามแซงคู่ (เส้นทึบคู่) (เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ขนานกัน มีระยะห่างระหว่างเส้น 15 เซนติเมตร)

ความหมาย ห้ามขับรถผ่าน ขับรถคร่อมเส้น ห้ามแซงโดยเด็ดขาดทั้งสองทิศทาง

7. เส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 100 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 300 เซนติเมตร )

ความหมาย ให้ขับรถในช่องเดินรถ ห้ามขับคร่อมเส้นหรือทับเส้น เว้นแต่จะเปลี่ยนช่องเดินรถหรือกลับรถ

8. เครื่องหมาย “เส้นแบ่งช่องเดินรถเตือน” หมายความว่า เส้นแบ่งช่องเดินรถประเภทเตือนเป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 300 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 100 เซนติเมตร

ความหมาย แสดงให้ทราบว่าใกล้จะถึงเส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง ห้ามขับคร่อมเส้นช่องเดินรถ เว้นแต่จะเปลี่ยนช่องเดินรถ

9. เส้นแบ่งช่องเดินรถห้ามแซง (เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร)

ความหมาย ห้ามแซงโดยเด็ดขาด ห้ามขับรถผ่านหรือคร่อมเส้น หรือกลับรถ

10. เส้นขอบทาง (เส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 10 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 60 เซนติเมตร)

ความหมาย ให้ขับรถในช่องทางจราจรด้านขวาของเส้น

11. เส้นแบ่งเดินรถประจำทาง (เส้นทึบสีเหลืองขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร)

ความหมาย รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ใช้ช่องทางเดินรถด้านซ้ายของเส้นนี้ รถประเภทอื่นห้ามขับผ่านเข้าไปในช่องนี้

12. เส้นแบ่งภายในช่องเดินรถประจำทาง

ความหมาย ให้รถประจำทางหรือรถที่กำหนดวิ่งในช่องทางได้ทั้ง 2 ช่อง ทั้งซ้ายและขวาของเส้นนี้

13. เส้นแบ่งช่องเดินรถประจำทางสามารถข้ามผ่านได้ (เส้นทึบสีเหลือง ขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 30 เซนติเมตร)

ความหมาย รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ใช่ช่องเดินรถทางด้านซ้าย ของเส้นนี้ รถประเภทอื่นให้ขับผ่านได้กรณีจะเข้า-ออกจากซอยหรือเลี้ยว

14. จุดเริ่มต้นช่องเดินรถประจำทาง

ความหมาย รถประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารที่อธิบดีกรมตำรวจกำหนด ให้ผ่านเข้าไปในช่องเดินรถประจำทางหลังจุดนี้ รถประเภทอื่นห้ามขับเข้าไปในช่องเดินรถประจำทางหลังจุดนี้

15. เส้นแนวหยุด (เส้นขวางถนน เป็นเส้นทึบสีขาว ขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร)

ความหมาย ให้ผู้ขับรถหยุดรถก่อนถึงแนวเส้นขวางทุกครั้งเพื่อดูจังหวะรถว่างหรือรอให้คนข้าม ในทางข้ามข้างหน้าผ่านไปก่อน เมื่อปลอดภัยจึงขับรถผ่านไป

16. เส้นให้ทาง (เส้นขวางถนน เป็นเส้นประสีขาว ขนาดกว้าง 40 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร เว้นช่องห่าง 30 เซนติเมตร)

ความหมาย เป็นเส้นประสีขาวข้ามถนนให้ผู้ขับขี่ขับรถให้ช้าลง แล้วดูให้รถอื่นที่ออกจากทางร่วม หรือคนเดินเท้าในทางข้ามที่ขวางหน้าผ่านไปก่อน เห็นปลอดภัยแล้วจึงขับรถผ่านไป

17. เส้นทแยงสำหรับทางแยก (เป็นเส้นทึบสีเหลืองขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ลากทแยงตัดกันทำมุม 45 องศา ห่างกัน 200 เซนติเมตร ภายในกรอบเส้นทึบสีเหลือง ขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร )

ความหมาย เป็นเส้นทึบสีเหลืองลากทแยงมุม ห้ามหยุดรถทุกชนิดภายในกรอบเส้นทแยงนี้

เครื่องหมายจราจร ประเภทเครื่องหมายลูกศรบนพื้น

1. ลูกศรตรงไป

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับตรงไป ห้ามขับเลี้ยวซ้ายหรือขวา

 2. ลูกศรเลี้ยวซ้าย

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับเลี้ยวซ้าย ห้ามขับตรงไปหรือเลี้ยวขวา

3. ลูกศรเลี้ยวขวา

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับเลี้ยวขวา ห้ามขับตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย

4. ลูกศรเลี้ยวซ้ายกับเลี้ยวขวา

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องเลี้ยวขับซ้ายหรือเลี้ยวขวา ห้ามขับตรงไป

 5. ลูกศรตรงไป หรือเลี้ยวซ้าย

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับตรงไปหรือเลี้ยวซ้าย ห้ามขับเลี้ยวไปทางขวา

6. ลูกศรตรงไป หรือเลี้ยวขวา

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับตรงไปหรือเลี้ยวขวา ห้ามขับเลี้ยวไปทางซ้าย

7. ลูกศรตรงไปและเลี้ยวซ้าย หรือเลี้ยวขวา

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องขับตรงไป หรือเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา

8. ลูกศรเลี้ยวกลับ

ความหมาย ผู้ขับในช่องที่มีลูกศรนี้ต้องกลับรถไปใช้ช่องทางในทิศทางจราจรตรงข้าม ห้ามขับตรงหรือเลี้ยวซ้าย (ต้องดูความปลอดภัยในรถที่สวนมาทางจราจรตรงข้าม เมื่อปลอดภัยจึงกลับรถได้)

ขอบคุณข้อมูลจาก : khiansapolice.comdlt.go.th

แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view63172.html

แอร์รถไม่เย็น แอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง เป็นเพราะอะไร?

แอร์รถไม่เย็น แอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง ปัญหาน่าหงุดหงิดสำหรับคนใช้รถ ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุใด และควรต้องแก้ไขอย่างไรให้กลับมาเย็นฉ่ำดังเดิม

ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนแทบจะ 100% เมื่อต้องเจอกับปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็น หรือแอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง สิ่งเหล่านี้ย่อมกวนใจคนใช้รถมากเป็นพิเศษ เพราะการต้องขับรถฝ่าการจราจรโดยระบบปรับอากาศไม่สมบูรณ์คงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก

อย่างไรก็ตาม เมื่อแอร์รถไม่เย็นหรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งขัดข้อง การแก้ไขด้วยตัวเองอาจเป็นไปได้ยาก แต่หากผู้ขับขี่รู้ถึงลักษณะอาการที่เกิดขึ้นย่อมง่ายต่อการสื่อสารให้ช่างทราบ เพื่อวิเคราะห์แก้ไขได้อย่างรวดเร็วตรงจุดกว่า

แอร์รถไม่เย็นเป็นเพราะอะไร ควรสังเกตอย่างไร

แน่นอนว่าเมื่อแอร์รถไม่เย็น ผู้ขับขี่ควรสังเกตลักษณะอาการที่ผิดปกติที่เกิดนั้นว่าเป็นอย่างไร เช่น แอร์รถไม่เย็นมีแต่ลม ไม่มีลมออกเลย แอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้างในช่วงขณะหรือจังหวะใด แอร์รถไม่เย็นต้องปิดแล้วเปิดใหม่ถึงจะกลับมาเย็นเหมือนเดิม หรือแอร์เริ่มไม่เย็น เย็นน้อยลง เป็นต้น

การตรวจสอบหาสาเหตุแอร์รถไม่เย็นเบื้องต้น ด้วยตัวเองก่อน

  • เช็กการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ โดยสังเกตการตัด-ต่อของคอมเพรสเซอร์ (ซึ่งรอบเครื่องยนต์จะถูกดึงเล็กน้อย) หรือลองเปิด-ปิดสวิตช์ AC ของระบบปรับอากาศเพื่อจับอาการว่าคอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานเป็นปกติหรือไม่
  • ดูระดับน้ำยาแอร์ที่ดรายเออร์ (Receiver Drier) ซึ่งจะมีกระจกใสหรือที่นิยมเรียกกันว่าตาแมว จะมองเห็นการหมุนเวียนของน้ำยาแอร์ หากพบว่าเกิดฟองมาก (ปกติจะมีฟองเพียงเล็กน้อย) แสดงว่าน้ำยาแอร์ในระบบขาด อาจมีรอยรั่วในระบบ ทำให้น้ำแอร์พร่องดูดซับความร้อนในห้องโดยสารได้ไม่เต็มที่
  • ตรวจสอบพัดลมระบายความร้อน ว่าเมื่อเปิดแอร์แล้วพัดลมแอร์ด้านหน้ารถ (สำหรับระบายความร้อนคอยล์ร้อนหรือ Condenser) ทำงานปกติหรือไม่ เพราะถ้าหากพัดลมแอร์ไม่ทำงานหรือทำงานไม่เต็ม (แรงลมอ่อน) จะระบายความร้อนไม่ได้หรือได้ไม่ดี ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์รถไม่เย็นได้
  • กรณีแอร์ไม่มีลมออก แต่คอมเพรสเซอร์ทำงาน ท่อน้ำยาแอร์ที่เดินเข้ามาภายในรถมีไอเย็นเกาะ อาจเป็นไปได้ว่า Blower หรือพัดลมแอร์ (คอยล์เย็นด้านในรถ) ไม่ทำงาน

แอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง สาเหตุหลักที่พบบ่อย

ปัญหาส่วนใหญ่ที่แอร์รถไม่เย็นมีแต่ลม หรือแอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง มักเกิดจากน้ำยาแอร์ขาดเนื่องจากมีจุดรั่วในระบบ ทำให้เย็นน้อยลงเรื่อย ๆ หรือคอมเพรสเซอร์เสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่ทำงาน รวมถึงพัดลมระบายความร้อนหน้ารถไม่ทำงาน ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์รถไม่เย็นได้เช่นกัน

วิธีแก้ไขแอร์รถไม่เย็น หรือแอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง

สำหรับการแก้ไขปัญหาแอร์รถไม่เย็น หรือแอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับปัญหาที่พบ ในกรณีน้ำยาแอร์ขาดก็สามารถนำรถไปเติมน้ำยาแอร์เพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้นก่อนได้

แต่โดยปกติแล้วกรณีน้ำยาแอร์ขาด มักมีการรั่วในระบบ และถ้ารอยรั่วไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อใช้ไปสักพักแอร์ก็อาจกลับมาไม่เย็นอีก ส่วนจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับรอยรั่วในระบบ แต่ถ้าคอมเพรสเซอร์แอร์เสื่อมสภาพ เสียหาย คงต้องซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ เช่นเดียวกับระบบระบายความร้อน

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในระบบแอร์ก็อาจมีส่วน

นอกเหนือจากส่วนประกอบหลัก ๆ ของระบบแอร์ที่มักมีปัญหาตามที่กล่าวมาแล้ว การที่แอร์รถไม่เย็นอาจเกิดจากส่วนอื่นอย่างระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีการทำงานซับซ้อนมากขึ้น

ทั้งนี้ การรู้สาเหตุหรือการสังเกตลักษณะอาการของปัญหาแอร์รถยนต์ เช่น แอร์รถไม่เย็นมีแต่ลม ไม่มีลมออก แอร์รถเย็นบ้างไม่เย็นบ้าง ในช่วงจังหวะเวลาใด ต้องปิดแล้วเปิดใหม่ถึงจะกลับมาเย็นเหมือนเดิม หรือแอร์เริ่มไม่เย็น เย็นน้อยลง แม้จะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเองได้ก็ตาม แต่หากผู้ขับขี่สามารถบอกอาการที่ชัดเจนแก่ช่างได้ ก็จะช่วยให้การตรวจสอบปัญหาแอร์รถไม่เย็นนั้นทำได้รวดเร็วและตรงจุดมากยิ่งขึ้น

แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view253616.html

วิธีขับรถลุยน้ำท่วมหรือน้ำรอการระบายให้ปลอดภัยรอดจากความเสียหาย

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการของเมืองไทยแล้ว เมื่อครั้งที่แล้ว ทีมงาน BoxzaRacing ได้แนะนำวิธี ตรวจเช็คความพร้อมของรถ ก่อนออกไปตะลุยฝน ให้เพื่อนๆ ได้ดูได้ชมกันไปแล้ว คราวนี้ทีมงานจะแนะนำ วิธีขับรถลุยน้ำท่วม หรือน้ำรอการระบาย ให้ปลอดภัย เป็นที่รู้กันอยู่ว่า ถ้าวันไหนฝนตกหนักๆ บ้านเราบางพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่ต่ำ อาจจะมีน้ำสะสมค่อนข้างเยอะ ทำให้น้ำระบายไม่ทัน บางทีก็มาขังบนพื้นถนน ถ้าฝนตกหนักมากๆ น้ำขังเหล่านี้ ก็จะมีปริมาณที่สูงขึ้นตามปริมาณของน้ำฝน ทำให้น้ำท่วมถนนได้ น้ำรอการระบาย และเราต้องขับรถผ่านถนนเส้นนั้นพอดี แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ จะขับรถผ่านอย่างไร ไม่ให้รถเกิดความเสียหาย วันนี้ทีมงาน BoxzaRacing จะมาแนะเคล็ดลับดีๆ ให้เพื่อนๆ ได้ลองทำตามดูกัน 

1.อันดับแรกที่เราเห็นน้ำท่วม หรือน้ำขัง เราควรที่จะประเมินสถานะการณ์ของน้ำที่ท่วมขังเสียก่อน โดยสังเกตจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถคันหน้า หรือขอบฟุตบาท ซึ่งรถยนต์เป็นพาหนะที่วิ่งทางบก เพราะฉะนั้น รถแต่ละประเภทจะลุยน้ำที่ระดับความสูงไม่เหมือนกัน อย่าง รถเก๋ง ไม่ควรที่จะลุยน้ำท่วมสูงเกิน 25 เซนติเมตร รถกระบะสายซิ่งทั้งหลาย ไม่ควรลุยน้ำท่วมสูงเกิน 40 เซนติเมตร หรือรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ 4WD ไม่ควรลุยน้ำท่วมสูงเกิน 50 เซนติเมตร หากระดับน้ำสูงเกินกว่านี้ เราไม่ควรที่จะขับลุยเข้าไป ควรที่จะจอดรอให้ระดับน้ำลดลงเสียก่อนค่อยขับผ่านไป       

          2.ประเมินสถานะการณ์เรียบร้อยแล้ว ถ้าโอเคงั้นขับฝ่าไป แต่ต้องปิดแอร์ ที่ต้องปิดแอร์เพราะว่าถ้าเปิดแอร์ เมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด พัดลมไฟฟ้าทำงาน พัดลมแอร์ทำงาน ถ้าระดับน้ำถึงระดับใบพัดลม อันดับแรกใบพัดลมแอร์จะพัดเอาน้ำหรือสิ่งสกปรกที่ลอยมากับน้ำกระเด็นขึ้นเครื่องยนต์ได้ และจะทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างที่อยู่ในห้องเครื่องช็อตหรือเสียหายได้ อันดับต่อมาอาจจะทำให้ใบพัดลมแอร์เสียหายและหักได้ เรียกว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ทนร้อนนิดเดียว ดีกว่าเสียหายเยอะ 

3.ต่อมา…ให้ใช้เกียร์ต่ำ อย่าใช้รอบสูงมาก ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดาควรใช้แค่เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น ส่วนเกียร์อัตโนมัติ ดึงเกียร์มาในตำแหน่ง L ได้ และเวลาขับ ควรเลี้ยงรอบเครื่องยนต์ไว้ไม่ให้เกิน 1,500-2,000 รอบ/นาที ยิ่งถ้าเป็นเกียร์ ธรรมดา เข้าเกียร์ 1 เสร็จ ปล่อยคลัทช์ให้รถค่อยๆ เดินเบาไหลไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเราขับเร็ว อาจจะทำให้น้ำกระเด็นสูง และคลื่นน้ำก็จะแรงไปกระทบสิ่งของทำให้เกิดการเสียหายได้ พอเกิดคลื่นแรกอาจจะไปพัดเอาสิ่งของต่างๆ ข้างทางมาโดนตัวรถเราได้

4.พอเราเริ่มขับรถลุยน้ำ อย่าขับจี้คันหน้ามากเกินไป ควรทิ้งระยะห่างเอาไว้ อย่าขับชิดคันหน้าจนเกินไป เพราะว่าถ้าเกิดคันหน้าเบรกฉุกเฉิน เราอาจจะเบรกไม่ทัน เนื่องจากระบบเบรกของรถเราก็แช่อยู่ในน้ำเช่นกัน อีกข้อหนึ่งก็คือ เวลาเจอรถสวนควรที่จะเบาคันเร่ง เพราะลดอาการคลื่นปะทะแรงๆ อาจจะสร้างความเสียหายให้กับรถเราก็ได้ 

ถ้าเครื่องยนต์ดับขณะที่เรากำลังขับลุยน้ำ อย่าสตาร์ทเครื่องตอนนั้นเลย เพราะจะมีแรงดูดจากเครื่องยนต์และดูดน้ำวนเข้าไปทำลายเครื่องยนต์ของเราได้ ถ้าเครื่องยนต์ดับเราควรที่จะเข็น หรือจอด หรือลาก รถออกไปจากพื้นที่น้ำท่วม แล้วค่อยหาวิธีแก้ไขต่อไป ถ้าใครที่ซื้อประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+ เอาไว้คุณจะได้รับความคุ้มครองกรณีน้ำท่วม แนะนำว่ารีบโทรหาบริษัทฯ ประกันของคุณเพื่อแจ้งเหตุ และขอความคุ้มครองได้ทันที และหลังจากที่เราขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วมขัง น้ำรอการระบายแล้ว เราก็มีข้อปฏิบัติดังนี้ 

  1.หลังจากขับผ่านพ้นน้ำท่วมขังออกมาแล้ว อย่าเพิ่งรีบเร่งเครื่อง หรือขับรถเร็วๆ ทันที ให้เราใช้ความเร็วต่ำ และเหยียบเบรก แล้วปล่อย เหยียบแล้วปล่อย เพื่อที่จะไล่น้ำออกจากคาลิเปอร์เบรกและผ้าเบรก อีกทั้งยังเช็คระบบเบรกของเราด้วยว่าทำงานได้ดีอยู่ไหม การเหยียบเบรกแล้วปล่อย เราควรที่จะทำประมาณสัก 50 เมตร แต่ต้องดูรถด้านหลังด้วยนะ

          2.จากที่เราย้ำเบรกเสร็จแล้ว เราควรที่จะขับรถไปอีกประมาณ 20 นาที เพื่อไล่ความชื้นที่ยังคงค้างอยู่ในเครื่องยนต์และรถยนต์ แต่ถ้าจำเป็นต้องจอดรถ หรือถึงที่หมายแล้ว อย่าเพิ่งดับเครื่องยนต์ให้สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้เสียก่อน เพราะเป็นการไล่ความชื้นของเครื่องยนต์และตัวรถด้วย

3.ต่อมาเราก็มาเช็คความเสียหายของตัวรถ เช็คดูว่ามีอะไรมาเกาะไหม หรือชิ้นส่วนไหนหักหลุดออกไปบ้าง ล้อและยางมีความเสียหายไหมเป็นต้น

  นี่คือ วิธีและขั้นตอนในการปฏิบัติ การขับรถลุยน้ำท่วมและหลังจากที่เราลุยน้ำท่วม น้ำรอการระบายเรียบร้อยแล้ว เราควรที่จะทำอะไรบ้าง ลองเอาไปใช้ดู และอย่าลืมศึกษาเส้นทางที่เราใช้ด้วยล่ะ ว่าเส้นนั้น สภาพถนนเป็นอย่างไร เลี่ยงได้เราก็ควรเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนด้านบนได้เลย

แหล่งอ้างอิง http://car.boxzaracing.com/knowledge/32841

คู่มือประจำรถ ที่ปรึกษาตัวจริงของคนใช้รถ

 สำหรับท่านที่ซื้อรถใหม่ เชื่อว่าหลายคนเคยเห็นหนังสือเล่มหนึ่ง ที่อยู่ในช่องเก็บของหน้ารถ นั่นคือ คู่มือประจำรถ และเชื่อว่ามีหลายคนที่ไม่เคยนำออกมาใช้ หรือเปิดดูเลยจนกระทั่งขายรถไป แต่สำหรับบางคนเห็นเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพราะอะไร…เรามีคำตอบ

         วันนี้ทีมงาน BoxzaRacing จะมาพูดถึงความสำคัญของหนังสือที่เรียกว่า คู่มือประจำรถ นี้กัน ว่าแท้จริงแล้ว มีความสำคัญกับการใช้รถมากน้อยขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากได้อ่านบทความนี้แล้ว ต้องมีคนเอามากอดเก็บไว้ไม่ให้ใครแน่นอน สำหรับความสำคัญของคู่มือนี้ มีไม่น้อยเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับรถคันนั้นๆ แล้วจะต้องอยู่ในนี้ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การใช้งานครั้งแรกว่าจะต้องปรับในส่วนไหน พวงมาลัย กระจกไฟฟ้า เบาะนั่งปรับตรงไหน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐาน แต่นั่นเป็นเพียงความเคยชิน แต่ว่าขั้นตอนและสิ่งที่ถูกต้องนั้น…อยู่ในคู่มือ การเปลี่ยนชิ้นส่วน อุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ในหนังสือเล่มนี้ มีบอกให้หมด และที่สำคัญ คือ ถูกต้องทุกขั้นตอน

  หรือแม้แต่การบำรุงรักษา การเติมน้ำหม้อน้ำ น้ำฉีดกระจก ไปจนถึงเรื่องการล้างรถยังมีอยู่ในนี้ ตำแหน่งของฟิวส์ ที่หลายคนยังไม่รู้ว่าติดตั้งอยู่ส่วนไหนของรถ แน่นอนว่ารถรุ่นใหม่ๆ จะอยู่ในห้องเครื่องเก็บรวมอยู่ในกล่อง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าฟิวส์ตัวไหน ต่อกับอุปกรณ์ตัวใด หากไม่ดูที่ คู่มือประจำรถ ตำแหน่งของการขึ้นแม่แรงว่าควรขึ้นส่วนไหนของรถ แล้วแม่แรงยกรถเก็บไว้ตรงไหน จะรู้ได้อย่างไรหากไม่ดูคู่มือ เรียกว่ามีทุกเรื่องที่เกี่ยวกับรถ ที่เราสามารถหาดูได้ในนี้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องปรึกษาบุคลที่หลายคนชอบเรียกว่า เขา (ก็เขาว่ามา)

 แล้วอะไรในรถอีกที่ต้องอาศัย คู่มือประจำรถ นี้ สังเกตง่ายๆ ว่าอะไรบางที่ต้องอ่านคู่มือก่อนว่าจะใช้งานอย่างไร ให้ดูที่สัญลักษณ์รูปหนังสือ ซึ่งจะมีอยู่ตามจุดต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นที่พื้นรถ เบาะ ที่บังแดด ตลอดจนกระทั่งในห้องเครื่อง เหล่านี้จะต้องดูคู่มือประกอบทั้งสิ้น ไม่มีความจำเป็นต้องเดาอะไร ไม่เพียงเท่านั้นในการเปลี่ยนอะไหล่ ชิ้นส่วนของรถโดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้า ยกตัวอย่าง หลอดไฟ ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟในห้องโดยสาร ยังมีวิธีการเปลี่ยนอยู่ในนี้ อีกทั้งยังมีสเปคของหลอดไฟอีกว่า สเปคไหนเหมาะสมกับรถที่ใช้ ตำแหน่งของจุดยึดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผงข้างประตู กันชน หรือแผงปกคลุมต่างๆ ที่เป็นพลาสติก งานนี้สามารถรื้อออกทำเองได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องกลัวเสียหาย หากตามขั้นตอนที่ระบุในคู่มือ ยังมีเรื่องราวดีๆ อีกมากมาย ที่มีเพียงคู่มือเล่มเดียวก็ทำได้ ลองเปิดดูแล้วทำไป ดีไม่ดี แทบไม่ต้องจ้างช่างมาซ่อมรถเลย เพราะทำเองได้ทั้งหมด   

กระซิบอีกครั้งว่า คู่มือประจำรถ ไม่ได้หาซื้อกันง่ายๆ แต่ถึงแม้จะหาได้ก็มีราคาที่สูงมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วเจ้าของรถไม่ย่อมขาย และจะต้องติดอยู่กับรถตลอดเวลา เอาเป็นว่า…วันนี้ได้อ่านบทความนี้แล้ว ลองไปเปิดรถดูว่า หนังสือที่เรียกว่า คู่มือประจำรถ เล่มนี้ ยังมีอยู่ในรถหรือไม่ แล้วลองเปิดอ่านสักเรื่อง เชื่อได้ว่าคุณๆ จะได้ความรู้เรื่องรถมากขึ้น โดยไม่ต้องเรียนหรือปรึกษาช่างเลย

แหล่งอ้างอิง http://car.boxzaracing.com/knowledge/32015

ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด

ในเมื่อเราพูดถึงระบบเบรคของรถยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ กันไปแล้ว อีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญและต้องหมั่นดูแลอยู่เป็นพิเศษอีกหนึ่งชิ้นนั่นก็คือ ผ้าเบรค ที่จะต้องเปลี่ยนอยู่เป็นประจำตลอดอายุการใช้งานของตัวรถ ซึ่งในวันนี้เราก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับสิ่งนี้กันผ่าน บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ ที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรที่จะต้องมีความรู้ติดตัวกันเอาไว้บ้าง อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรคในตอนไหน แบบไหนปลอดภัยแบบไหนอันตราย เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัย กับทั้งท่านและผู้ร่วมเดินทาง หรือ แม้กระทั่งผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ๆ ด้วย

ผ้าเบรคคืออะไร 

ผ้าเบรคคือ ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยสร้างแรงเสียดทานให้ระบบเบรค คือชิ้นส่วนสำคัญที่ระบบเบรคในทุกรูปแบบจะขาดไปไม่ได้ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกดหรือจับตัวจานดิสก์เบรคที่ติดอยู่กับล้อในขณะที่เราเหยียบเบรค ตัวแม่ปั้มจะคอยดันผ้าเบรคให้มาสัมผัสกับจานที่ยึดติดกับล้อรถเพื่อช่วยชะลอหรือหยุดรถ จนเกิดการทำงานของระบบเบรคนั่นเอง โดยตัวผ้าเบรคนั้นจะทำมาจากวัสดุที่มีเนื้อหยาบกร้านทนทานต่อความร้อน เช่น เส้นใยสังเคราะห์ หรือ เส้นใยเหล็ก และ อีกมากมายหลายชนิด ที่วางจำหน่ายอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็รวมไปถึงอายุการใช้งานด้วยเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผ้าเบรคแบบไหนจะเหมาะกับรถของเรา แล้วจากยี่ห้อไหนดีที่สุดกัน ซึ่งถ้าถามว่าดีที่สุดไหมเราก็คงจะตอบไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็มีข้อดีและจุดที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งก่อนจะไปดูว่าผ้าเบรคมียี่ห้ออะไรบ้างเราไปรู้จักกับ ผ้าเบรคทั้ง4 รูปแบบกันก่อนดีกว่า

ผ้าเบรคมีทั้งหมด 4 รูปแบบ

1.ผ้าเบรคออร์แกนิก คือ ผ้าเบรคที่จะผลิตด้วยใยแก้ว , ยาง และ ไฟเบอร์ โดยจะไม่ใช้ส่วนผสมของโลหะอยู่เลย ซึ่งข้อดีของผ้าเบรคชนิดนี้ คือการที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะจะช่วยทำให้เวลาที่ใช้เบรคจะมีความนุ่มเงียบมากเป็นพิเศษโดยจะไม่มีเสียงดังและยังช่วยถนอมจานเบรคได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นก็จะมีอายุการใช้งานที่สั้น และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง

2.ผ้าเบรคเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ทำจากโลหะร้อน โดยจะออกแบบมาให้สามารถทนทานต่อความร้อนได้สูงมาก ๆ และ ตัวผ้าเบรคมีอายุการใช้งานที่มากกว่าผ้าเบรครุ่นอื่น ๆ หรือ จะเรียกว่าเป็นผ้าเบรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้ แต่ข้อเสียหลัก ๆ ก็คือด้วยความที่ตัวผ้าเบรคนั้นเป็นเหล็กก็อาจจะทำให้จานเบรคสึกหรอได้เร็วก่อนเวลาอันควร รวมถึงเวลาเบรคก็จะมีเสียงที่ดังกวนใจอยู่บ่อยครั้ง และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง

3.ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ผสมระหว่างโลหะกับใยสังเคราห์ โดยจะใช้ส่วนผสมของโลหะในอัตราส่วนที่มากกว่า เป็นผ้าเบรคอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน เพราะค่อนข้างอเนกประสงค์ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รองรับการใช้งานได้หลากหลายสามารถเบรคบนความเร็วสูงได้ดี เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว แต่ข้อเสียก็จะไม่ค่อยเหมาะกับรถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักเยอะ หรือ ตัวรถที่มีน้ำหนักตัวถังมาก

4.ผ้าเบรคเซรามิก คือผ้าเบรคสมรรถนะสูงที่ทำมาจากเซรามิกผสมกับทองแดง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดกว่าผ้าเบรคทุกรูปแบบ ที่ให้ทั้งความนุ่มเงียบในเวลาใช้งานและจะไม่มีเขม่าดำออกมาในเวลาที่เบรกในความเร็วสูง ส่วนข้อเสียของผ้าเบรคชนิดนี้ก็จะเป็นในเรื่องความร้อนที่ตัวผ้าเบรคนั้นจะไม่ดูดซับความร้อนทำให้ความร้อนจะไปอยู่ที่จานเบรคแทน และ ผ้าเบรคชนิดนนี้ก็จะมาพร้อมกับราคาที่สูงมาก ๆ

    ผ้าเบรคควรเปลี่ยนตอนไห

    สำหรับระยะทำงานของผ้าเบรคแต่ละชนิดก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ผลิตของแต่ละแบรนด์ก็จะมีระยะเวลาที่การันตีมาให้ อยู่ที่ 40,000-100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ชนิดของผ้าเบรคที่เลือกใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้อมูลที่จะสามารถเชื่อและไว้ใจได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ เพราะแน่นอนว่ารถยนต์แต่ละคันนั้น มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดของเครื่องยนต์ , ขนาดของตัวรถ ซึ่งนั่นก็ยังไม่รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน ที่บางคนก็ขับช้าบางคนก็ขับเร็ว หรือ แม้กระทั่งสถานที่ภูมิประเทศที่ใช้งานด้วยว่าต้องขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำรึป่าว ซึ่งแน่นอนถ้ายิ่งใช้งานหนักก็จะยิ่งทำให้ผ้าเบรคนั้นหมดไว้ขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเราควรเปลี่ยนผ้าเบรคได้แล้วนอกจากระยะทางในการใช้งาน คือความหนาของปริมาณผ้าเบรค ซึ่งเราสามารถเช็คดูได้ก่อนจะเปลี่ยนว่าตัวผ้าเบรคนั้นมีความหนาในระดับไหน ซึ่งข้อสังเกตุง่าย ๆ เลยถ้าผ้าเบรคที่พึ่งจะแกะกล่องออกมานั้นจะมีความหนาอยู่ที่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งถ้าหากความหนาของผ้าเบรคลดลงมาเหลือ 5 มิลลิเมตร นั่นก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ควรเปลี่ยนได้แล้ว และ ถ้าหากพบว่ามีความหนาต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร คือช่วงเวลาที่ไม่ควรใช้รถอย่างยิ่ง และ ต้องรีบเปลี่ยนด้วยด่วน

    ผ้าเบรคยี่ห้อไหนดีที่สุด 

    1. Compact Brake ผ้าเบรคคอมแพคท์ คืออีกหนึ่งแบรนด์ผ้าเบรคระดับโลกที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็เลือกใช้ โดยจะมีผ้าเบรคคุณภาพมาให้เลือกมากมายหลายรูปแบบดังนี้
    • Compact Primo คือ ผ้าเบรคที่ใช้สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง สามารถรองรับความเร็วปกติได้ดี
    • Compact Nano X คือผ้าเบรคสำหรับรถสปอร์ต หรือ รถยนต์ที่มีพละกำลังสูง เพราะจะให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่สูง ช่วยให้ระยะเบรคสั้น ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และ สัมผัสที่นุ่มเงียบ
    • Compact Duramax คือผ้าเบรคสำหรับรถกระบะหรือรถบรรทุก ที่ใช้ขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำ เพราะจะเป็นผ้าเบรคที่ทนทานต่อความร้อนได้สูง สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน

    2. Bendix คือ อีกหนึ่งยี่ห้อผ้าเบรคที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยจะมีผ้าเบรคให้เลือกมากถึง 5 รุ่น ได้แก่ 

    • General CT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง และ ใช้ความเร็วอยู่บ้างในบางเวลา
    • Heavy Duty เหมาะกับรถที่ต้องบรรทุกของหนัก หรือ รถตู้ 
    • Metal King Titanium คือผ้าเบรคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตที่ใช้ความเร็วสูงและใช้เบรคอย่างรวดเร็ว
    • 4WD SUV คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ยกสูงสายลุยแบบ Off-Road สามารถลุยน้ำลุยโคลนได้เต็มที่
    • Premium คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดพรีเมี่ยม ที่รองรับความเร็วสูงได้ดี มีระยะเบรคที่สั้น ทนทานต่อความร้อน

    3. Nexzter ผู้ผลิตผ้าเบรคยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่

    • Next Spec คือผ้าเบรครุ่นเริ่มต้น สำหรับรถยนต์ทั่วไป
    • MU Spec คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์กึ่งสปอร์ตที่สามารถรองรับความเร็วสูงได้ในระดับหนึ่ง
    • Pro Spec คือผ้าเบรดเกรดรถสปอร์ตสมรรถนะสูง 
    • Race Spec คือผ้าเบรคเซรามิคเกรดสำหรับรถแข่ง

    4. TRW แบรนด์ผ้าเบรคชื่อดังจากเยอรมนี ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้

    • COTEC เหมาะกับรถยนต์ยุโรปทั่วไป
    • DETEC เหมาะกับรถเก๋งญี่ปุ่นทั่วไป
    • UTEC เหมาะกับรถกระบะหรือรถบรรทุก
    • ATEC คือผ้าเบรคอเนกประสงค์ที่ใช้ได้ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ

    5. Akebono แบรนด์ผ้าเบรคสัญชาติญี่ปุ่น สุดโด่งดังที่ผลิตผ้าเบรคให้กับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำทั่วโลกมาแล้วมากมาย โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น 

    • PRO-ACT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไป

    ผ้าเบรกที่ได้รับการออกแบบให้ลดเสียงดังรบกวนและการสั่นสะเทือน เพื่อให้คุณภาพการเบรกที่นุ่ม เงียบ มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาว เหมาะกับการใช้งานทั่วไป

    • Euro คือผ้าเบรคเซรามิคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตจากยุโรป
    • Performance คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดรถแข่ง โดยจะเหมาะกับรถสปอร์ตและรถยนต์ที่ได้รับการ Modify ทุกรุ่น 

    6. Brembo คือ ผู้ผลิตเบรคอันดับหนึ่งของโลกซึ่งแน่นอนถ้าไม่ใส่เข้ามาด้วยก็คงไม่สมบูรณ์ ซึ่งผ้าเบรคของ Brembo ก็จะมีเพียงรุ่น Brembo Xtra ที่ผลิตมาจากส่วนผสมมากกว่า 30 ชนิด ที่จะช่วยให้ระบบเบรคของคุณมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเลย แต่ก็ต้องแลกมากับราคาที่แพงมาก ๆ ด้วยเช่นกัน 

    สรุป

    สำหรับผ้าเบรค ก็เรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแล และ ต้องเลือกใช้ให้ตรงรุ่นตรงคุณสมบัติของรถคุณด้วยเช่นกัน แถมยังเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแลรักษาอยู่ตลอด เพราะถ้าหากเสื่อมสภพหรือเสียหายไปนั่นก็หมายถึงชีวิตได้เลย และ ก่อนจากกันในครั้งนี้ เราหวังว่า บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ จะมอบประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้ทุกท่านนะครับ ส่วนในครั้งหน้าจะเป็นบทความเรื่องอะไรนั้น โปรดติดตามกันด้วยนะครับ

    แหล่งอ้างอิง

    https://mywonderwheel.com/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%96cat/%e0%b8%9c%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88/

    แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี ?

    หากพูดถึงรถยนต์ในปัจจุบันที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์จะใช้ระบบไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นแบตเตอรี่จึงเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่สำคัญมากๆใช้จ่ายกระแสไฟตั้งแต่ในการสตาร์ทเครื่องยนต์จนไปถึงควบคุมระบบและอุปกรณ์ต่างๆของรถ ซึ่งเชื่อว่าผู้ใช้งานหลายท่านก็ต่างสงสัยกันว่า แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร รวมถึงสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ของเราเสื่อมสภาพได้ ในวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับวิธีใช้งานแบตเตอรี่ให้มีระยะเวลาตามอายุการใช้งานมากที่สุดกันครับ

    แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานกี่ปี ?

    แบตเตอรี่รถยนต์ของเราหากจะให้ระบุชัดเจนว่ามีอายุการใช้งานกี่ปีจะเป็นเรื่องที่ตอบยาก เพราะต้องดูจากปัจจัยหลายๆอย่างตั้งแต่เรื่องของการใช้งานและสภาพอากาศในระหว่างเวลาที่ใช้และเวลาที่จอด รวมถึงเกรดคุณภาพของแบตเตอรี่ที่ใช้งานด้วย โดยปกติจะมีอายุการใช้งานถ้าน้อยที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หากดูแลรักษาอย่างดีไม่เสื่อมสภาพก็จะมีอายุการใช้งานได้มากที่สุด 5 ปี เพราะฉะนั้นควรจะเปลี่ยนในช่วงประมาณ 3-4 ปี น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

    สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ

    • สภาพอากาศและอุณหภูมิ หากเจออุณหภูมิที่หนาวจัดและร้อนจัด จะทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพได้ ยิ่งถ้าจอดในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลานานจะทำให้การกักเก็บกระแสไฟทำงานได้ไม่ดีเหมือนสภาพอุณหภูมิปกติ สังเกตได้จากการที่ผู้ใช้งานที่มีรถจอดนานๆแบบไม่ได้ใช้มักจะจอดเก็บในที่ร่มอยู่เสมอ 
    • การต่อขั้วแบตเตอรี่ การต่อขั้วแบตหากต่อไม่ดีหรือต่อหลวมไปจะให้การจ่ายกระแสไฟและการชาร์จไฟทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร
    • ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หากไดร์ชาร์จไฟมีปัญหาก็จะทำให้การจ่ายกระแสไฟที่ต่ำกว่ากำหนดไปยังแบตเตอรี่หรือมีการรั่วไหลของกระแสไฟก่อนไปถึงตัวแบตเตอรี่ก็จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักโดยที่มีกระแสไฟส่งมาไม่พอเป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้ หรือการที่ดัดแปลงให้จ่ายกระแสไฟมากกว่ากำหนดก็จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพได้เช่นกัน
    • การเปิดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งไว้ เชื่อว่าหลายท่านก็อาจจะเคยลืมเผลอเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าค้างไว้โดยที่ไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์นี่ก็จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบตเสื่อมหรือหมดได้เร็วมากขึ้นเพราะการที่ใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยไม่ผ่านการสตาร์ทเครื่องยนต์จะเป็นการดึงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่โดยตรงโดยที่ไม่มีการปั่นกระแสไฟจากเครื่องยนต์มาทดแทนพลังงานที่เสียไป

    อาการเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อมสภาพ

    • เครื่องยนต์สตาร์ทติดยากหรือสตาร์ทไม่ติด หากรถยนต์ของคุณใช้เวลาในการสตาร์ทเครื่องยนต์นานขึ้นจนกว่าจะติด เป็นสาเหตุจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่ไว้ไม่อยู่ทำให้จ่ายไฟได้น้อยลง และหากสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติดเลยก็แสดงว่าแบตเตอรี่มีไฟไม่เพียงพอในการสตาร์ทเครื่องยนต์ เป็นข้อสังเกตที่จะเห็นได้อย่างแรกเพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์คือการใช้งานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มากที่สุด 
    • เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์มีกลิ่นผิดปกติ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ไปแล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้หรือกลิ่นผิดปกติเข้ามาในรถก็อาจจะเกิดจากแบตเตอรี่มีการรั่วไหลหรือชำรุดหากฝืนใช้งานต่อจะสร้างความเสียหายลุกลามไปยังชิ้นส่วนต่างๆได้ ให้รีบเปลี่ยนโดยทันที
    • ฟหน้าส่องสว่างน้อยลง หากในการขับรถในเวลากลางคืนแล้วมีความรู้สึกว่าแสงไฟหน้ารถยนต์ส่องสว่างได้ไม่เหมือนในครั้งก่อน ก็สามารถตั้งข้อสงสัยไปที่การทำงานของแบตเตอรี่ได้เลย
    • แบตเตอรี่ผิดปกติ แบตเตอรี่มีอาการร้อนกว่าปกติหรือเกิดการบวมมากกว่าเดิมนี่ก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าแบตเตอรี่ของคุณกำลังเสื่อมสภาพ 
    • สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดหรือบนแบตเตอรี่ โดยรถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตมักจะใส่ตาแมวเป็นสัญลักษณ์บอกประสิทธิภาพของแบตเตอรี่มาให้ด้วย หรือ สัญลักษณ์บนหน้าจอมาตรวัดเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดหรือเริ่มที่จะส่งไฟไม่เพียงพอจะขึ้นรูปแบตเตอรี่สีแดงมาปรากฏกวนใจอยู่บนจอมาตรวัด

    หากแบตเตอรี่รถยนต์หมดควรทำอย่างไร

    หากแบตเตอรี่หมดให้หาสายพ่วงแบตที่เป็นอุปกรณ์ติดรถมาให้แล้วให้ขอพ่วงกับรถที่อยู่ระแวกใกล้เคียง ในการพ่วงแบตแต่ละครั้งต้องให้รถคันที่เราจะพ่วงสตาร์ทเครื่องยนต์ตลอดเวลา จากนั้นให้อ่านขั้วบวกขั้วลบให้ดีแล้วหนีบตัวหนีบเข้ากับขั้วแบตให้แน่นทั้ง 2 คัน โดยในสีแดงจะเป็นขั้วบวก + สีดำจะเป็นขั้วลบ – จากนั้นให้ทำการเร่งเครื่องรถยนต์เล็กน้อยเพื่อกระตุ้นไฟแล้วถึงค่อยสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง หากสตาร์ทติดแล้วให้เข้าร้านตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ให้เรียบร้อย หากสตาร์ทไม่ติดอาจเกิดจากขั้วแบตหลวมหรือเสียบสายพ่วงไม่แน่น หากแก้ไขแล้วยังไม่ติดอีกก็ให้โทรตามช่างเพื่อนำแบตมาเปลี่ยนโดยไม่ต้องเรียกรถสไลด์หรือรถรากไปที่ร้านแต่อย่างใด

    ไม่ว่าจะใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีเกรดดีแค่ไหนหากใช้งานอย่างไม่ถนอมก็สามารถเสื่อมสภาพได้เช่นกัน หากทุกท่านปฏิบัติตามและเลี่ยงพฤติกรรมที่เราได้มานำเสนอผ่านบทความ แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุใช้งานได้กี่ปี ถ้าหากแบตเตอรี่เสื่อมจะมีวิธีสังเกตอย่างไร เรื่องนี้ จะช่วยให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในรถยนต์ที่คุณใช้ไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาได้ครับ หากชอบและถูกใจบทความของเรายังมีบทความที่น่าสนใจอีกมากมายในเว็บไซด์นี้ โปรดเลือกรับชมได้เลยครับ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านได้อย่างมาก สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่

    แหล่งอ้างอิง

    https://mywonderwheel.com/%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%96cat/%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%95%e0%b9%80%e0%b8%95%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b9%83/

    แอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ?

    แอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม จะมีอันตรายหรือไม่ ?

    เก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ถ้าภายในรถยนต์มีความร้อนสูง จะเกิดอันตรายอย่างติดไฟ ระเบิด หรือส่งผลเสียใดๆ หรือไม่

    ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยนั้น หากจอดรถยนต์ทิ้งไว้กลางแดดก็อาจทำให้ภายในรถเกิดความร้อนสูง ซึ่งการเก็บสิ่งของบางอย่างที่ไวไฟหรือไม่ทนทานต่อความร้อนไว้ในรถ อาจส่งผลให้เกิดอันตรายอย่างไฟลุกหรือระเบิดได้ และในยุคโควิดที่คนส่วนใหญ่มักพกเจลหรือสเปรย์ล้างมือแอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลา ทำให้เกิดความกังวลกันว่าถ้าหากวางหรือเก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถ จะเกิดอันตรายอะไรหรือไม่ ซึ่งวันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    เก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถได้ไหม ?

    จริงอยู่ที่แอลกอฮอล์เป็นสารที่สามารถติดไฟได้หากมีการสัมผัสกับเปลวไฟหรือประกายไฟ แต่ในกรณีที่เจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ถูกบรรจุอยู่ในขวดและเก็บไว้ในรถยนต์ ซึ่งไม่ได้มีการสัมผัสประกายไฟโดยตรง จะสามารถติดไฟด้วยตัวเองได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูงถึงประมาณ 370 องศาเซลเซียสเท่านั้น และอุณหภูมิภายในห้องโดยสารรถยนต์ที่จอดตากแดดก็ไม่มีทางที่จะมีความร้อนสูงถึงขนาดนั้น

    ส่วนใครที่ยังกังวลว่าแอลกอฮอล์ที่บรรจุอยู่ในกระป๋องสเปรย์จะมีโอกาสขยายตัวจนระเบิดเมื่อถูกความร้อนได้หรือไม่ ข้อนี้คงต้องบอกว่าสบายใจได้ เพราะว่าภายในกระป๋องสเปรย์แอลกอฮอล์จะไม่มีสารเคมีและแก๊สอยู่ภายใน ต่างจากกระป๋องสเปรย์อื่น ๆ จึงไม่เสี่ยงที่จะระเบิดเมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูง

    อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการจุดไฟแช็กหรือสูบบุหรี่ในรถยนต์ ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์จะอยู่ในขวดหรือกระปุก แต่ถ้ามีไอระเหยจากแอลกอฮอล์ภายในห้องโดยสารแล้วมีการจุดไฟก็สามารถทำให้ไฟลุกขึ้นมาได้นั่นเอง นอกจากนี้การที่แอลกอฮอล์โดนความร้อนจนระเหยรั่วออกมายังทำให้แอลกอฮอล์มีความเจือจางลง ซึ่งส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคลดลงอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่ควรเก็บแอลกอฮอล์ไว้ในรถน่าจะดีที่สุด

    ทั้งนี้ ถ้าหากใครอยากรู้ว่ามีสิ่งของอะไรบ้างที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถยนต์ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : 8 สิ่งของที่ไม่ควรทิ้งไว้ในรถ เพราะอาจเกิดผลเสียหรืออันตรายได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : caranddriver.comsnopes.com

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view255863.html

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถทําไง ?

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถทําไง เมื่อรถล็อกมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง

    ลืมกุญแจไว้ในรถ แล้วรถเกิดล็อกขึ้นมาเอง หรือมีเด็กอยู่ในรถเผลอไปกดล็อกประตูเข้า จะมีวิธีเปิดประตูหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง ?

    หลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์หลง ๆ ลืม ๆ สิ่งที่จะทำหรือสิ่งของต่าง ๆ กันมาบ้าง หากเป็นสิ่งของเล็ก ๆ หรือสิ่งที่จะทำไม่ได้มีความสำคัญมากก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ถ้าบังเอิญเป็นการลืมกุญแจรถไว้ในรถแล้วรถเกิดล็อกขึ้นมาอีก ก็ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อย

    แม้ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีโอกาสเกิดปัญหานี้ได้น้อยมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นกุญแจรถยนต์แบบรีโมตที่แม้จะลืมวางไว้ในรถแล้วปิดประตู รถก็จะไม่สามารถล็อกได้ แต่ถ้าเป็นรถยนต์รุ่นเก่าที่มีการทำงานของระบบล็อกผสมผสานแบบ Manual และไฟฟ้า ปัญหาเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ และเราจะมีวิธีแก้ไขเพื่อให้สามารถเปิดประตูได้อย่างไรบ้างนั้น ไปหาคำตอบกัน

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถ รถล็อกได้อย่างไร ?

    หากเป็นในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นถือว่าน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะรถยนต์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้กุญแจรถแบบ Keyless หรือกุญแจรถยนต์อัจฉริยะ ซึ่งหากเราลืมกุญแจไว้ในรถหรือฝาท้ายรถจะไม่สามารถล็อกหรือปิดฝากระโปรงได้ เว้นแต่นำกุญแจออกมาจากตัวรถแล้ว

    แต่ถ้าเป็นในรถรุ่นเก่า รถบางรุ่นจะมีการตั้งระบบล็อกอัตโนมัติหากถึงเวลาที่กำหนด กับอีกกรณีคือการปล่อยเด็กเล็กไว้ในรถแล้วเผลอไปโดนปุ่มล็อกเข้าก็อาจเกิดเหตุการณ์นี้ได้เช่นกัน

    ลืมกุญแจรถไว้ในรถ ทำไงดี ?

    หากลืมกุญแจไว้ในรถ และไม่สามารถเปิดล็อกประตูได้ อันดับแรกอย่าเพิ่งตื่นตระหนกหรือตกใจ ให้ตั้งสติและพยายามตรวจสอบประตูรถทั้ง 4 บาน รวมถึงฝากระโปรงท้าย ให้แน่ใจว่าไม่สามารถเปิดออกได้จริง และที่สำคัญสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าลืมกุญแจไว้ในรถจริง ๆ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นมีให้เลือกหลายทางขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสถานที่ที่เกิดเหตุขณะนั้น โดยเริ่มจากการแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน ดังนี้

    • ใช้กุญแจสำรอง คือ กุญแจที่ได้รับมาตอนซื้อรถยนต์ทุกคัน เผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน เช่น กุญแจหลักชำรุด ส่วนใหญ่มักจะเก็บไว้ที่บ้าน หากเราอยู่ในสถานที่ที่ไม่ไกลจากบ้านมากนักให้กลับไปนำกุญแจสำรองมาไขจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด 
    • ติดต่อช่างกุญแจ อีกหนึ่งวิธีการสำหรับใครที่ไม่สามารถกลับไปเอากุญแจสำรองที่บ้านได้ ให้ติดต่อช่างทำกุญแจมาดำเนินการสะเดาะกุญแจรถให้ หรือรถบางรุ่นที่อยู่ในระยะเวลารับประกันก็อาจมีบริการพิเศษจากค่ายรถนั้น ๆ โดยสามารถติดต่อกับศูนย์บริการได้โดยตรง
    • โทร. ขอความช่วยเหลือ หากเกิดเหตุการณ์ลืมกุญแจรถไว้ในรถที่ห่างไกลจากบ้านจนไม่สามารถกลับไปเอากุญแจสำรองได้ และบริเวณนั้นไม่มีช่างกุญแจ ให้โทร. ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่กู้ภัย
    • ทุบกระจก เป็นทางเลือกในกรณีที่ต้องการเปิดรถอย่างเร่งด่วน เช่น มีเด็กหรือสัตว์เลี้ยงติดอยู่ภายในรถ โดยใช้หิน ค้อน หรือของแข็งที่หาได้ และเลือกทุบกระจกบานด้านข้างมากกว่าด้านหน้ารถ เพราะมีความแข็งแรงน้อยกว่า และพยายามเลือกบานที่อยู่ห่างจากเด็กหรือสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการเกิดอันตราย

    อย่างไรก็ตาม แม้ในรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีโอกาสลืมกุญแจรถไว้ในรถแล้วรถล็อกจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นเราควรตั้งสติ ไม่ตื่นตระหนก ก็จะช่วยให้สามารถคิดหาทางแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ที่สำคัญทุกครั้งที่ลงจากรถควรพกกุญแจรถติดตัวไว้เสมอ ทั้งนี้ แม้เทคโนโลยีจะมีความทันสมัยมากเพียงใด เพื่อความปลอดภัยควรลองดึงประตูทุกครั้งหลังจากล็อกรถ เพราะบางทีเซ็นทรัลล็อกอาจมีปัญหาแบบไม่รู้ตัวก็ได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : brightside.merd.com

    แหล่งอ้างอิง :https://car.kapook.com/view250292.html

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น1

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 1 บริษัทไหนจ่ายเบี้ยเท่าไร คุ้มครองอะไรบ้าง

    กำลังจะทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แต่ไม่รู้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร เช็กเลย ! ราคาประกันรถยนต์ชั้น 1 ของแต่ละบริษัท ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยต่อปีกี่บาท  และได้รับความคุ้มครองอะไรบ้าง คุ้มกับเงินที่จ่ายหรือไม่

    ทุกวันนี้ใครที่ใช้รถยนต์ นอกจากประกันภัย พ.ร.บ. ที่บังคับให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำพร้อม ๆ กับการต่อภาษีแล้ว ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจก็เป็นการทำประกันอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนนิยมทำ โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เพราะประกันภัยดังกล่าวจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่าประกันภัยภาคบังคับที่รับผิดชอบเฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น

    แต่แน่นอนว่าการรับผิดชอบความเสียหายที่ครอบคลุมมากขึ้น ย่อมมากับค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งแต่ละบริษัทประกันก็มีเรตราคาที่แตกต่างกันออกไปโดยขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถ รุ่น ปีที่ผลิต หรือแม้แต่ประวัติการเคลมล้วนมีผลต่อเบี้ยประกันทั้งสิ้น

    ประกันภัยรถยนต์ คืออะไร

    ประกันภัยรถยนต์ คือการประกันวินาศภัยประเภทหนึ่งที่ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายที่เกิดจากการใช้รถยนต์ เช่น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ ความเสียหายที่รถยนต์ได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก รวมทั้งบุคคลที่โดยสารอยู่ในรถยนต์นั้น ซึ่งประกันภัยรถยนต์ที่มีในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

    • ประกันรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. เป็นประกันภัยรถยนต์ที่ทางภาครัฐบังคับให้เจ้าของรถยนต์ทุกคันต้องทำเพื่อเป็นหลักประกันในการคุ้มครองตัวบุคคลที่ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกหากเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ ทุกพลภาพ หรือเสียชีวิต 
    • ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ คือ ประกันภัยที่ทำโดยความสมัครใจของเจ้าของรถ เป็นประกันภัยที่อยู่นอกเหนือประกันภัยภาคบังคับ สำหรับประกันภัยภาคสมัครใจนั้นจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่า ซึ่งจะคุ้มครองตัวบุคคลทั้งตัวผู้ขับขี่เอง ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก รวมไปถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ประกันภัยรถยนต์ มีกี่ประเภท

    ทั้งนี้ ประกันภัยรถยนต์แบบสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุดนั่นก็คือ ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ประกันภัยชนิดที่จะให้ความรับผิดชอบ ดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย ผู้โดยสารและบุคคลภายนอก รับผิดชอบค่าเสียหายของทรัพย์สิน ค่าซ่อมรถยนนต์ทั้งของผู้เอาประกันภัย คู่กรณี ซึ่งความคุ้มครองนี้ไม่ได้คุ้มครองเฉพาะกรณีเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมการเกิดเหตุแบบไม่มีคู่กรณีเช่นเดียวกัน

    วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคา เบี้ยประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 จากบริษัทประกันภัยต่าง ๆ มาให้ดูกัน ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกประกันภัยรถยนต์บริษัทไหนดี มาเช็กราคาได้เลย

    เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 1

    1. วิริยะประกันภัย

    ภาพจาก : viriyah.com

    วิริยะประกันภัยดำเนินกิจการในเมืองไทยมากว่า 70 ปี มีศูนย์ซ่อมและอู่ในเครือกว่า 600 แห่ง นอกจากประกันภัยรถยนต์แล้ว วิริยะยังมีประกันภัยอื่น ๆ ได้แก่ ประกันภัยบ้าน ประกันภัยธุรกิจ และประกันภัยสุขภาพอีกด้วย

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของวิริยะประกันภัยจะแบ่งตามลักษณะประเภทของรถและสถานที่ในการเข้าซ่อม ส่วนการคุ้มครองนั้นจะครอบคลุมทั้งตัวผู้เอาประกันและบุคคลภายนอก เช่น ค่าความเสียหายต่าง ๆ ของรถยนต์ ความเสียหายต่อทรัพย์สิน 5,000,000 บาท/ครั้ง ค่ารักษาพยาบาล ชีวิต ร่างกาย 1,000,000 บาท/คน หรือ 10,000,000 บาท/ครั้ง นอกจากนี้ ยังรวมถึงกรณีรถสูญหาย น้ำท่วม หรือไฟไหม้ และหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท/ครั้ง ประกันภัยรถยนต์ของวิริยะนั้นจะให้ความคุ้มครองที่เหมือนกัน จะแตกต่างตรงที่ซ่อมอู่หรือซ่อมห้างเท่านั้น

    • รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู ซ่อมอู่ ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 13,000 บาท
    • รถเก๋ง รถกระบะ 4 ประตู ซ่อมห้าง ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 15,000 บาท
    • รถกระบะ 2 ประตู ไม่เกิน 3 ตัน ซ่อมอู่ ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 16,500 บาท
    • รถกระบะ 2 ประตู ไม่เกิน 3 ตัน ซ่อมห้าง ราคาเบี้ยเริ่มต้นที่ 20,000 บาท

    2. กรุงเทพประกันภัย

    ภาพจาก : bangkokinsurance.com

    บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมทั้งในเรื่องประกันรถยนต์ และประกันภัยด้านอื่น ๆ ที่มีให้เลือกหลายประเภทด้วยกัน อาทิ ประกันภัยการเดินทาง, ประกันภัยอุบัติเหตุ, ประกันภัยสำหรับทรัพย์สิน และประกันภัยอื่น ๆ

    สำหรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของกรุงเทพประกันภัยมีให้เลือกมากมายหลายแบบแผน ทั้งตามลักษณะของการใช้งานรถยนต์, ช่วงอายุของผู้ชับชี่ หรือรถที่มีอายุมากกว่า 6-12 ปี ก็สามารถทำประกันภัยชั้น 1 ได้ ส่วนการคุ้มครองนั้นจะครอบคลุมทั้งผู้เอาประกัน บุคคลภายนอก และทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงกรณีรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ หรือภัยจากการก่อการร้ายก็ให้ความคุ้มครองเช่นกัน

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของกรุงเทพประกันภัยจะมีให้เลือกหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ซึ่งจะมีข้อแตกต่างที่ราคาเบี้ยประกันและความคุ้มครองบางอย่างที่ไม่เหมือนกันเพียงเล็กน้อย ผู้ที่สนใจควรสอบถามรายละเอียด เงื่อนไขของประกันภัยชั้น 1 แต่ละแผนให้ดีก่อนตกลงทำประกัน

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภทเลือกทุนเองได้ ตั้งแต่ 100,000-300,000 บาท ให้ความคุ้มครองทุกอุบัติเหตุ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ นํ้าท่วม มีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง พร้อมศูนย์ซ่อมมาตรฐาน (อู่ในเครือ) ให้เลือกหลากหลาย ราคาเบี้ยเริ่มต้น 11,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Motor by Region คิดเบี้ยประกันภัยตามภูมิภาคต่าง ๆ รับประกันรถที่มีอายุไม่เกิน 15 ปี และเป็นรุ่นรถที่บริษัทฯ กำหนดเท่านั้น สามารถเลือกศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมได้ ราคาเริ่มต้นต้องสอบถามกับตัวแทนประกันภัยเพราะขึ้นอยู่กับสถานที่ที่อยู่อาศัย และรุ่นรถของผู้เอาประกันภัย
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Motor Gen X ให้ความคุ้มครองแบบตรงใจสำหรับกลุ่มคนอายุ 35-45 ปี โดยไม่ต้องระบุผู้ขับขี่ สามารถเลือกศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมได้ มีบริการช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง ราคาเบี้ยเริ่มต้น 12,780 บาท 
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท Used Car Special รองรับสำหรับรถยนต์อายุ 6-12 ปี ได้รับทุนประกันภัยสูงสุดถึง 500,000 บาท ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีรถชน รถหาย ไฟไหม้ ทั้งแบบมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี เข้าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมมาตรฐานกรุงเทพประกันภัย ราคาเบี้ยเริ่มต้น 15,480 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 ประเภท คุ้มครอง-คุ้มค่า ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักรถ และมีประวัติการขับขี่ที่ดี เบี้ยประกันภัยราคาเบาๆ แต่จะต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท/ครั้ง เมื่อเคลมแบบไม่มีคู่กรณีหรือเป็นฝ่ายผิด ราคาเบี้ยเริ่มต้น 8,100 บาท บาท

    หมายเหตุ : ราคาของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ในทุกกลุ่มจะมีการลดลงโดยขึ้นอยู่กับอายุของตัวรถ

    3. ไทยศรี ประกันภัย

    ภาพจาก : thaisri.com

    บริษัทประกันภัยที่เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 60 ปี มีศูนย์บริการ อู่ในเครือที่ได้มาตรฐาน และยังมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยอื่น ๆ นอกเหนือจากประกันภัยรถยนต์ ได้แก่ ประกันภัยทรัพย์สิน, ประกันภัยอุบัติเหตุ, ประกันการเดินทาง, ประกันภัยทางทะเล, ประกันภัยเบ็ดเตล็ด และประกันภัยสุขภาพ

    สำหรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของไทยศรี ประกันภัย จะแบ่งออกเป็นตามแต่ละประเภทของรถ เช่น รถยนต์ รถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนความคุ้มครองนั้นถือว่าครอบคลุมทั้งตัวผู้เอาประกันภัย บุคคลภายนอก และทรัพย์สิน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของไทยศรี ประกันภัย แบ่งออกเป็น ดังนี้

    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถเก๋ง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รวมถึงรถปิคอัพจดทะเบียนเป็นรถนั่งส่วนบุคคล ที่นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง โดยให้ความคุ้มครองตัวรถยนต์คันเอาประกันภัยและรถคู่กรณี (ตามทุนประกันภัย) คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก สูงสุด 5,000,000 บาท คุ้มครองชีวิตร่างกาย อนามัย ของบุคคลภายนอก สูงสุด 10,000,000 บาท คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 300,000 บาท/คน พร้อมหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ สูงสุด 400,000 บาท/ครั้ง ราคาเบี้ยเริ่มต้น 11,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถกระบะ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยกรณีชน และรถยนต์สูญหาย /ไฟไหม้ รวมทั้งความคุ้มครองชีวิตร่างกาย อนามัยและทรัพย์สินบุคคลภายนอก นอกจากนี้ ยังมีความคุ้มครองเพิ่มเติมอื่น ๆ เช่น คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก สูงสุด 1,000,000 บาท/ครั้ง คุ้มครองชีวิต ร่างกาย อนามัย ของบุคคลภายนอก สูงสุด 10,000,000 บาท มีหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 200,000 บาท/ครั้ง และค่ารักษาพยาบาล สูงสุด 100,000 บาท/คน ราคาเบี้ยเริ่มต้น 14,000 บาท

    4. ธนชาตประกันภัย

    ภาพจาก : thanachart-insurance.co.th

    บริษัทประกันภัยที่ก่อตั้งมาเมื่อปี 2540 มีประกันภัยรถยนต์ให้เลือกหลากหลายแบบทั้งชั้น 1 ชั้น 2+ และชั้น 3+ นอกจากประกันภัยรถยนต์ก็ยังมีประกันภัยชนิดอื่น ๆ เช่น ประกันภัยอุบัติเหตุ และประกันภัยโรคมะเร็ง

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของธนชาตประกันภัยมีให้เลือก 2 แผนด้วยกัน ได้แก่ 

    • ประกันภัยรถยนต์ประเภท1 One Lite ประกันภัยชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองทุกภัย เหมาะสำหรับผู้ขับขี่มั่นใจ ขับรถปลอดภัย ไม่มีเคลม ราคาเริ่มต้นที่ 10,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 Single Rate ประกันภัยชั้น 1 สำหรับผู้ขับขี่มือใหม่ ที่ต้องการความคุ้มเป็นพิเศษ มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 14,000 บาท

    5. ทิพยประกันภัย

    ภาพจาก : tipinsure.com

    ทิพยประกันภัย บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่มีอู่ซ่อมและศูนย์ในเครือทั่วประเทศ มีประกันภัยรถยนต์ให้เลือกหลากหลายแผนโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง Tip Lady ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้หญิงที่ต้องขับรถคนเดียว

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของทิพยประกันภัยมีให้เลือกหลายแผน โดยจะแบ่งตามลักษณะของการใช้งาน ได้แก่

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 TIP Premium ประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะกับคนใช้รถเป็นประจำ ชอบเดินทางไกล หรือมือใหม่หัดขับ ราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 TIP Premium+ ประกันภัยรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองทุกกรณี พร้อมได้รับเงินชดเชยกรณีเข้าซ่อมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ราคาเริ่มต้นที่ 13,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 Tip Lady ประกันภัยสำหรับผู้หญิงที่ให้ความคุ้มครองทรัพย์สินส่วนตัว ค่าศัลยกรรมจากอุบัติเหตุ และสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเมื่อเดินทางออกจากบ้านเกิน 100 กม. กรณีรถขัดข้องหรืออุบัติเหตุจนไม่สามารถขับต่อได้ ราคาเริ่มต้นที่ 12,000 บาท
    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 Tip Rainbow ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองมากขึ้น เหมาะสำหรับทุกลักษณะการใช้รถ ขับมากขับน้อย ขับเร็วขับช้า มือเก่ามือใหม่ เพิ่มเติมค่าศัลยกรรมสูงสุด 2 ท่าน และ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม. ราคาเริ่มต้น 13,000 บาท 

    6. เมืองไทยประกันภัย

    ภาพจาก : muangthaiinsurance.com

    อีกหนึ่งบริษัทประกันภัยที่หลายคนน่าจะคุ้นหู ซึ่งนอกจากประกันภัยรถยนต์แล้วยังมีประกันภัยชนิดอื่น ๆ ได้แก่ ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ประกันการเดินทาง ประกันอัคคีภัยและทรัพย์สิน

    ราคาประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของเมืองไทยประกันภัยมีให้เลือกทั้งแบบซ่อมห้าง ซ่อมอู่ และประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า

    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบพันธุ์แกร่ง เหมาะสำหรับรถ SUV และกระบะส่วนบุคคล ให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ หรือรถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุ ภัยก่อการร้าย คุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก เพิ่มความคุ้มครองรับเงินชดเชยเมื่อต้องนำรถเข้าอู่กรณีรถชนรถและเป็นฝ่ายถูก และยังให้ความคุ้มครองทรัพย์สินภายในรถยนต์เมื่อถูกโจรกรรมมีรอยงัดแงะ ราคาเบี้ยเริ่มต้น 15,000 บาท
    • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบ OK Type1 ประกันภัยรถยนต์แบบซ่อมอู่ คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ ทั้งรถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติ หรือรถยนต์เสียหายจากอุบัติเหตุ ภัยก่อการร้าย คุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเบี้ยเริ่มต้น 13,500 บาท 
    • ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 สำหรับรถไฟฟ้า ที่ให้ความคุ้มครองต่อชีวิตและร่างกายของบุคคลภายนอกสูงสุด 10,000,000 บาท รับผิดชอบต่อรถเอาประกันภัย กรณีชนกับยานพาหนะ สูญหาย ไฟไหม้ ตามทุนประกัน พร้อมค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท/คน และยังมีความคุ้มครองหลักทรัพย์ประกันตัวผู้ขับขี่ 300,000 บาท/ครั้ง ครอบคลุมไปถึงภัยก่อการร้าย รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งราคาเบี้ยเริ่มต้น 25,999 บาท

    อย่างไรก็ตาม นอกจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ที่เรานำมาให้ดูกันแล้วก็ยังมีบริษัทอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น LMG insurance, ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย, โตเกียวมารีน ประกันภัย และ MSIG ประกันภัย ใครที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ สามารถตรวจเช็กเบี้ยประกันหรือรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติมกับบริษัทประกันภัยได้โดยตรง และควรศึกษาเงื่อนไขรายละเอียดคุ้มครองต่าง ๆ ให้เรียบร้อยจะได้ไม่เสียประโยชน์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : thaisri.comtipinsure.comthanachart-insurance.co.th,
    bangkokinsurance.comviriyah.commuangthaiinsurance.commuangthaiinsurance.com

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view255323.html

    ขับรถชนของหลวงผิดแค่ไหน ?

    ขับรถชนของหลวง ต้องจ่ายค่าชดใช้เป็นเงินกี่บาท และประกันจะช่วยจ่ายหรือไม่ ?

    เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหากวันหนึ่งคุณดันขับรถแล้วไปชนกับสิ่งของข้างทางที่เป็นของหลวงเสียหายเข้า รู้หรือไม่ว่าต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่ ประกันจะจ่ายไหม ?

     อุบัติเหตุทางรถยนต์ อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหากประมาท หรือพลาดพลั้ง นำมาซึ่งความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวหรือของผู้อื่น รวมถึงทรัพย์สินสาธารณะหรือที่เรียกว่า “ของหลวง” อาทิ เสาไฟฟ้า ต้นไม้ข้างทาง ป้ายจราจร ราวสะพาน และเสาสัญญาณไฟ เป็นต้น และนั่นคือที่มาของคำถามว่า ผู้ที่ขับขี่รถชนจะต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่ และประกันรถยนต์ที่ทำไว้จะรับผิดชอบหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    ขับรถชนของหลวง มีความผิดหรือไม่?

    เมื่อผู้ใช้รถเกิดประสบอุบัติเหตุขับรถชนจนทำให้ของหลวงเสียหาย ไม่ว่าจะเป็น เสาไฟฟ้า หรือป้ายจราจร จะมีหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลของหลวงในส่วนนั้น ๆ อาทิ เสาไฟฟ้า อยู่ในความดูแลของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรการไฟฟ้า หรือป้ายจราจร จะอยู่ในความดูแลของกรมทางหลวง ซึ่งผู้ใช้รถจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่หน่วยงานนั้น ๆ

    โดยเมื่อหน่วยงานรับเรื่อง ก็จะมีทีมงานส่งไปตรวจสอบความเสียหายโดยรอบ พร้อมคำนวณค่าเสียหาย และค่าแรงสำหรับการซ่อมแซมหรือรื้อถอน จากนั้นจึงส่งเป็นใบแจ้งหนี้ที่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น

    อีกทั้งยังมีความผิดจากการสร้างความเสียหายสาธารณสมบัติ โดยจะอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา หมวด 7 ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ในมาตรา 360 “ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

    ขับรถชนของหลวง เสียค่าปรับเท่าไหร่

    อุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมีราคาไม่เท่ากัน ซึ่งหากผู้ใช้รถขับรถชน ก็จะต้องมีการจ่ายค่าเสียหายควบคู่กับค่าปรับอื่น ๆ โดยชดใช้ในราคาที่แตกต่างกันตามสภาพความเสียหาย อย่างไรก็ตามราคาทั้งหมดนี้เป็นเพียงการประเมินในเบื้องต้นเท่านั้น เพราะในสถานที่เกิดเหตุจริง อาจมีความเสียหายอื่น ๆ ที่ทำให้ถูกคิดค่าเสียหายเพิ่มเติม รวมทั้งราคาอาจจะมากกว่า – น้อยกว่า ก็ขึ้นอยู่กับหน่วยงานผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยจะเป็นผู้ชี้แจง ว่าของแต่ละชนิดมีค่าเสียหายที่ต้องจ่ายอยู่ที่เท่าไหร่ อาทิ

    • เสาไฟฟ้า เสาไฟ้าถือเป็นทรัพย์สินของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรการไฟฟ้าที่ขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่โดยจะมีทั้งการไฟฟ้านครหลวงหรือส่วนภูมิภาค หากเกิดการเสียหายจากอุบัติเหตุ จะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยจะดูจากความสูงของเสา และประเภทกำลังไฟ เช่น เสาไฟฟ้าแรงสูง เสาไฟฟ้าแรงกลาง และเสาไฟฟ้าแรงต่ำ สายไฟ หม้อแปลง หลอดไฟ รวมถึงค่าแรงที่จะต้องรื้อถอน และติดตั้งใหม่ จะมีราคาประมาณ 50,000-150,000 หรือถ้าเป็นเสาไฟไฮแมส หรือ เสาสูง (HIGH MAST POLE) ที่มีขนาดสูงตั้งแต่ 15-30 เมตร จะมีราคาสูงถึง 10,000- 300,000 บาท ทั้งนี้ถ้าหากเสาไฟฟ้าดังกล่าวพ่วงสายโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตจากเอกชนด้วย ก็จะมีการเพิ่มค่าเสียหายร่วมด้วย 
    • เสาไฟจราจร หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 8,000-15,000 บาท ต่อต้น ตามสภาพความเสียหายและขนาดของเสา
    • ป้ายจราจร ถือเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมทางหลวง ถ้าไปขับรถไปชนจนได้รับความเสียหาย จะมีราคาความเสียหายประมาณ 1,000-3,000 บาท ต่อต้น ตามสภาพความเสียหายและขนาดป้าย
    • แบริเออร์ จะมีราคาราว ๆ 800-1,500 บาท ต่อชิ้น ขึ้นอยู่กับประเภทวัสดุ และจำนวนที่เสียหาย
    • แผงกั้นจราจรแบบเหล็ก หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 1,000-5,000 บาท ต่อแผง ขึ้นอยู่กับขนาด หรือวัสดุ
    • กรวยจราจร จะมีราคาอยู่ที่ 200-800 บาท ต่อชิ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของกรวย และจำนวนที่เสียหายทั้งหมด
    • เสาสีส้มล้มลุก หากได้รับความเสียหาย จะมีราคาราว ๆ 500 บาท ต่อต้น
    • ต้นไม้ จะมีสำนักงานเขตแต่ละเขต เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ และมีเทศบาลท้องถิ่นนั้น ๆ หากได้รับความเสียหาย จะขึ้นอยู่ที่เขตและเทศบาลเป็นผู้ประเมินราคา

    ขับรถชนของหลวง ประกันรับผิดชอบ และจ่ายชดเชยไหม

    อีกหนึ่งข้อสงสัยที่ผู้ใช้รถอยากรู้ก็คือ หากเกิดชนทรัพย์สินของหลวงเสียหาย ประกันจะสามารถจ่าย
    ได้หรือไม่ ?

    ซึ่งหากผู้ใช้รถทำประกันเอาไว้ บริษัทประกันสามารถเป็นผู้ชดใช้ในส่วนของค่าเสียหายได้ ทั้งเคลมส่วนของรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย และทรัพย์สินราชการภายนอก หรือของหลวงได้ แต่จะขึ้นอยู่กับวงเงิน และเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนด หากเกินกำหนด เจ้าของรถก็จะต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเพิ่มเติมด้วยด้วยตนเอง โดยประกันแต่ละประเภท จะมีเงื่อนไขคุ้มครองค่าเสียหายจากการชนของหลวงที่แตกต่างกันดังนี้

    • ประกันรถยนต์ชั้น 1 บริษัทประกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด ไม่ว่าจะชนอะไรก็ตาม แต่ขึ้นอยู่กับวงเงิน และสัญญาตามกรมธรรม์ที่ระบุในสัญญา หากเกินกำหนดเจ้าของรถก็จะต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือเพิ่มเติมด้วยด้วยตนเอง
    • ประกันรถยนต์ชั้น 2 บริษัทประกันจะรับผิดชอบเพียงบางส่วน โดยเจ้าของรถที่สร้างความเสียหายต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งภายในสัญญาและกรมธรรม์ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบส่วนไหน

    แต่สำหรับผู้ที่ถือประกันรถยนต์ประเภทอื่น ๆ ที่ประกันภัยไม่คุ้มครอง จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด หากเกิดความเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณจะมีประกันชั้นไหนก็ตาม ถ้าในกรณีเมาแล้วขับรถไปชนของหลวง จะถือว่าผิดตามสัญญาที่มีไว้ในกรมธรรม์ ทางบริษัทจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณี

    ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูล และราคาคร่าว ๆ ของทรัพย์สินสาธารณะสมบัติบนท้องถนนหรือของหลวง หากเกิดการขับรถชนจนเสียหาย ซึ่งยังไม่รวมถึงค่ารักษาพยาบาล ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จะตามมาเป็นหางว่าวหากเจ้าของรถพลาดพลั้งไปชนเข้าไม่ว่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย หรือจงใจก็ตาม

    สิ่งสำคัญของการขับรถที่ปลอดภัยคือตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท เมาไม่ขับ และควรมีประกันรถยนต์ติดตัวไว้เพื่อช่วยเหลือในตอนเกิดอุบัติเหตุ ลดภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นการขับรถอย่างมีสติ ปฏิบัติตามกฎจราจร จะเป็นการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างดีที่สุด

    ขอบคุณข้อมูลจาก : krisdika.go.thpea.co.thdoh.go.th

    แหล่งอ้างอิง https://car.kapook.com/view249226.html

    M-folw คืออะไร ?

    M-Flow คืออะไร ต่างจาก M-Pass/Easy Pass อย่างไร ? พร้อมเปิดใช้งานเต็มรูปแบบ 4 ด่าน 15 ก.พ. นี้

    M-Flow ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ 4 ด่าน ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565

     หลังกรมทางหลวงได้เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนและทดลองใช้ระบบ M-Flow ซึ่งเป็นระบบเก็บค่าผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดรถเพื่อจ่ายเงินและไม่มีไม้กั้น เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัดหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง และลดการสัมผัสเงิน ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมานั้น

     ล่าสุด M-Flow พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบแล้ว 4 ด่าน ได้แก่ ด่านธัญบุรี 1, ด่านธัญบุรี 2,  ด่านทับช้าง 1 และ ด่านทับช้าง 2 ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2565 เวลา 22.00 น. เป็นต้นไป

    ระบบ M-Flow คืออะไร

    ระบบ M-Flow คือ ระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น ที่ใช้เทคโนโลยี AI และระบบเทคโนโลยี Video Tolling ในการตรวจจับป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องชะลอความเร็วเมื่อเข้าสู่ด่านจ่ายเงิน สามารถวิ่งผ่านด่านได้ด้วยความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด ไม่เกิน 120 กม./ชม.

    ผู้ที่ต้องการใช้งานระบบ M-Flow เพียงลงทะเบียนใช้บริการและวิ่งผ่านด่าน ระบบจะบันทึกข้อมูลไว้ โดยเป็นการวิ่งก่อน-จ่ายทีหลัง รองรับการใช้งานกับรถยนต์ทุกประเภทที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือทางพิเศษ ทั้งรถยนต์ 4 ล้อ, รถยนต์ 6 ล้อ และรถยนต์มากกว่า 6 ล้อขึ้นไป ชำระค่าธรรมเนียมผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หลังการใช้บริการ หรือระบบ Post Paid ทั้งแบบชำระเป็นรายครั้งหรือชำระตามรอบบิล รวมไปถึงการชำระผ่านเว็บไซต์หรือโมบายแอปพลิเคชันของระบบ M-Flow ตลอดจนการชำระด้วยระบบ QR Code และการชำระผ่านระบบตัดเงินอัตโนมัติ

    ระบบ M-Flow สมัครอย่างไร

    สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครใช้ระบบ M-Flow สามารถลงทะเบียนสมัครได้ง่าย ๆ ผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้

    1.เว็บไซต์ : mflowthai.com

    2.แอปพลิเคชัน : MFlowThai

    3.ไอดีไลน์ : @mflowthai

    เอกสารในการลงทะเบียนสมัคร ระบบ M-Flow

    • หมายเลขโทรศัพท์มือถือสำหรับใช้ในการลงทะเบียน
    • ข้อมูลตามบัตรประจำตัวประชาชน
    • บัตรประชาชนและภาพถ่ายคู่กับบัตรประชาชน
    • รายละเอียดที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและที่อยู่ปัจจุบัน
    • ข้อมูลรถ
    • ภาพถ่ายคู่มือจดทะเบียนรถหน้าแรก
    • รูปถ่ายรถด้านหน้ารถ (ด้านข้างและด้านหลังรถ ถ้ามี)

    โดยให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล ที่อยู่ติดต่อ อีเมล แจ้งหมายเลขทะเบียนรถที่จะนำมาใช้ และยืนยันตัวตนด้วยหมายเลขโทรศัพท์มือถือ พร้อมแจ้งวิธีการชำระเงิน ว่าจะเลือกชำระเป็นรายครั้งหรือชำระตามรอบบิล และให้เลือกรูปแบบชำระเงินที่ต้องการ

    ยังไม่ได้เป็นสมาชิก M-Flow สามารถใช้งานได้ไหม ?

    หากยังไม่เป็นสมาชิก M-Flow ก็สามารถใช้งานได้ ด้วยการวิ่งก่อนจ่ายทีหลังภายใน 2 วัน แต่ถ้าเนียนไม่จ่ายจะมีการเสียค่าปรับ ดังนี้

    • หากไม่จ่ายภายใน 2 วัน 

    ค่าผ่านทางตามจริง+ค่าปรับ 10 เท่า (30+300 = 300 บาท)

    • หากไม่จ่ายภายใน 12 วัน

    ค่าผ่านทางตามจริง+ค่าปรับ 10 เท่า+ปรับเพิ่ม (30+300+200 = 530 บาท) และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

    ป้ายทะเบียนแบบไหน ห้ามใช้ M-Flow

    • รถยนต์ที่ป้ายทะเบียนซีดจาง, ดัดแปลง, มีสิ่งบดบัง
    • รถยนต์ป้ายแดง
    • รถยนต์ทดสอบก่อนผลิต (TC) และรถยนต์ทดสอบคุณภาพก่อนจำหน่าย (QC)
    • รถยนต์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน

    ระบบ M-Flow ต่างจากระบบ M-Pass/Easy Pass อย่างไร?

    ระบบ M-Flow จะมีความต่างจากระบบ M-Pass/Easy Pass ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้

    ระบบ M-Flow

    • ไม่มีไม้กั้นที่ช่องทางเก็บเงิน
    • ไม่ต้องชะลอความเร็ว ขับรถได้ตามปกติ
    • ใช้เทคโนโลยี Video Tolling ระบบกล้องตรวจจับป้ายทะเบียนอัตโนมัติ
    • ใช้ได้กับรถทุประเภท ที่สามารถวิ่งได้ตามกฎของมอเตอร์เวย์
    • มีรูปแบบและช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย วิ่งก่อน จ่ายทีหลัง

    ระบบ M-Pass/Easy Pass 

    • มีระบบไม้กั้นที่ช่องทางเก็บเงิน
    • ต้องชะลอความเร็ว หรือจอดรอ และถอยหลัง หากไม้กั้นไม่เปิด
    • ใช้ Tag ติดกับตัวรถเพื่อรับส่งสัญญาณ บางครั้งมีปัญหาไม้กั้นไม่เปิดทำให้รถติด
    • รองรับเฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ
    • มีรูปแบบและช่องทางชำระเงินรูปแบบเดียว เติมเงินก่อนล่วงหน้า

    ทั้งนี้ M-Flow ถือเป็นระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นที่สร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้ทาง อย่างไรก็ตาม ควรขับขี่ด้วยความไม่ประมาทและปฏิบัติตามกฎจราจร เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและผู้อื่น

    ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก mflowthailand

    แหล่งอ้างอิง :https://car.kapook.com/view248171.html

    จอดรถขวางบ้านบ้านคนอื่น ผิดกฎหมายไหม ?

    จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น ผิดกฎหมายไหม แจ้งความจับได้หรือเปล่า ? อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย วันนี้เราจะพาไปหาคำตอบกัน

    การจอดรถขวางหน้าบ้านผู้อื่น ถือเป็นปัญหาที่หลายครั้งนำมาสู่การทะเลาะวิวาท ถึงขนาดขึ้นโรงขึ้นศาล และเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา จนทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยว่าจริง ๆ แล้วการจอดรถบนถนนขวางบริเวณหน้าบ้านคนอื่นสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าจอดไปแล้วเจ้าของบ้านสามารถเอาผิดเจ้าของรถได้หรือเปล่าและผิดกฎหมายข้อไหน

    จอดรถขวางหน้าบ้านผิดกฏหมาย อาจโดนทั้งจำทั้งปรับ

    หากผู้ใช้รถจอดรถขวางทางเข้า-ออกบ้านของผู้อื่น เจ้าของบ้านที่ถูกรถจอดกีดขวางสามารถแจ้งความเพื่อเอาผิดได้ โดยเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง ฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้เสียหายยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง ตามมาตรา 420 และถ้าเป็นที่สาธารณะยังมีโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก เจ้าหน้าที่สามารถออกใบสั่งได้อีกด้วย

    ซึ่งตามกฎหมายไทยนั้นได้กำหนดข้อบังคับเกี่ยวกับการจอดรถเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า ว่าผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีสิทธิ์จอดรถกีดขวางทางเข้า-ออกบ้านผู้อื่น ไม่ว่าพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่เอกชนหรือทางสาธารณะ เพราะถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 55 (6) ที่ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถ

    1.ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง

    2.บนทางเท้า

    3.บนสะพานหรือในอุโมงค์

    4.ในทางร่วมทางแยก

    5.ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ

    6.ตรงปากทางเข้า-ออกของอาคารหรือทางเดินรถ

    7.ในเขตปลอดภัย

    8.จอดในลักษณะกีดขวางการจราจร

    จอดรถอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย ?

    เมื่อรู้แล้วว่าการจอดรถขวางหน้าบ้านผู้อื่นผิดกฎหมาย ทั้งกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก และผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งอาจทำให้มีสิทธิ์ติดคุกได้ ดังนั้นก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้อง โดยเรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการจอดรถที่ถูกกฎหมายมาแนะนำ ซึ่งถ้าทำตามนี้รับรองไม่ถูกจับแน่นอน

    • ห้ามจอดรถบนทางเท้า
    • ห้ามจอดรถบนสะพานหรืออุโมงค์
    • ห้ามจอดรถในทางข้าม หรือระยะ 3 เมตร จากทางข้าม หรือทางม้าลายนี่แหละห้ามจอด
    • ห้ามจอดรถในทางร่วมทางแยก หรือในระยะ 10 เมตร จากทางร่วมทางแยก
    • ห้ามจอดรถในเขตที่มีเครื่องหมายจราจร “ห้ามจอดรถ”
    • ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตร จากท่อน้ำดับเพลิง
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร จากทางรถไฟผ่าน
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร จากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
    • ห้ามจอดรถซ้อนคันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว นอกจากทางห้างจะทำช่องพิเศษไว้ให้ และห้ามดึงเบรกมือ
    • ห้ามจอดรถตรงปากทางเข้า-ออกของบ้าน อาคาร ทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตร จากปากทางเดินรถ
    • ห้ามจอดรถระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะ 10 เมตร นับจากปลายสุดของเขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
    • ห้ามจอดรถในที่คับขัน
    • ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตร ก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง และเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร
    • ห้ามจอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม
    • ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตร จากตู้ไปรษณีย์

    รู้อย่างนี้แล้วผู้ขับขี่ทุกท่านคงต้องระมัดระวังเรื่องการหาที่จอดรถมากขึ้น อย่าเผลอไปจอดขวางทางเข้า-ออกบ้านใครเข้า เพราะอาจถูกแจ้งความได้ แต่หากมีความจำเป็นที่จะต้องจอดขวางจริง ๆ ควรทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ที่หน้ารถ เผื่อมีกรณีฉุกเฉิน เจ้าของบ้านจะได้ติดต่อได้สะดวก

    ขอบคุณข้อมูลจาก : moj.go.thkrisdika.go.thmoj.go.thtrafficpolice.go.th

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view247136.html

    ทำไมต้องวางพระไว้หน้ารถ ?

    วางพระหน้ารถ ควรหันหน้าไปทางไหน หันหน้าเข้าหรือออก

    ความเชื่ออย่างหนึ่งที่อยู่คู่กับชาวพุทธโดยเฉพาะคนที่ต้องขับรถเดินทางไปไหนมาไหน มักกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนออกเดินทาง บางคนอาจจะยกมือไหว้แม่ย่านาง บางคนอาจจะมีเครื่องรางของขลังพกติดไว้ในรถ รวมถึงบางคนอาจนำพระมาตั้งหรือวางที่หน้ารถ เพื่อให้ท่านช่วยคุ้มครองระหว่างเดินทางอย่างปลอดภัย

    แต่การนำพระมาตั้งบูชาที่หน้ารถนั้น ก็ยังมีคนสงสัยว่าจริง ๆ แล้วเราควรตั้งพระให้หันหน้าไปทางไหนกันแน่ ระหว่างหันไปทางด้านหน้าตัวรถ หรือหันเข้ามาภายในตัวรถ และการนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ เข้ามาบูชาในรถควรวางหรือเก็บไว้บริเวณใดไปหาคำตอบกัน

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในรถที่คนนิยมบูชา

    1. พระพุทธรูป

    ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนส่วนใหญ่มักจะมีติดรถไว้เป็นอันดับต้น ๆ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ปกป้อง และคุ้มครองให้เกิดความแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดการเดินทาง

    2. แม่ย่านาง

    เทพเทวดาที่มีความเชื่อว่าเป็นผู้ที่ปกปักรักษา คุ้มครองยานพาหนะต่าง ๆ เช่น เรือ เครื่องบิน และรถยนต์ ซึ่งผู้ที่มีความเชื่อและเคารพบูชามักจะนำพวงมาลัย ผลไม้ หมากพลู ข้าว และน้ำดื่ม มาถวายตามโอกาสเทศกาลต่าง ๆ

    3. วัตถุมงคล ของขลังต่าง ๆ

    วัตถุมงคลอื่น ๆ นอกเหนือจากพระที่คนนิยมบูชา ได้แก่ กุมารทอง ผ้ายันต์ และสิ่งของอื่น ๆ ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล

    การตั้งบูชาวัตถุมงคลภายในรถ

    หากใครที่เชื่อในหลักของฮวงจุ้ย การตั้งพระหน้ารถนั้นควรตั้งหันหน้าออกไปทางหน้ารถหรือทิศทางเดียวกับคนขับ ตามความเชื่อคือเพื่อเป็นการเสริมดวง ให้พระได้เห็นในทิศทางเดียวกับเราเพื่อเป็นการปกป้อง คุ้มครองจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งตามหลักฮวงจุ้ยการตั้งพระหันหน้าเข้ามาในตัวรถอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนรอบตัวได้

    สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องหลักฮวงจุ้ยการตั้งพระให้หันหน้าเข้ามาในตัวรถก็สามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะบางคนอาจรู้สึกสบายใจ มีสติตื่นตัว เป็นเครื่องเตือนใจขณะขับขี่เมื่อได้เห็นด้านหน้าขององค์พระ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่าการไหว้พระเราควรไหว้ต่อหน้าท่าน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการหันหน้าองค์พระเข้ามาในตัวรถ

    ข้อควรระวังในการตั้งพระหรือวัตถุมงคลในรถ

    1. เลือกขนาดให้เหมาะสม

    หากต้องการที่จะตั้งพระหน้ารถ หรือบูชาวัตุมงคลต่าง ๆ ภายในรถ ควรเลือกขนาดให้เหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไปจนบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายขณะขับขี่ได้ 

    2. จัดวางในตำแหน่งที่ปลอดภัย

    การวางหรือตั้งพระที่หน้ารถนั้นควรวางในตำแหน่งที่ปลอดภัย ไม่ควรตั้งทับบนแอร์แบ๊กหรือถุงลมนิรภัยเพราะหากเกิดอุบัติเหตุ พระที่ตั้งอยู่อาจถูกแรงอัดจากถุงลมนิรภัยกระเด็นมาโดนคนขับหรือผู้โดยสารภายในรถได้ ที่สำคัญควรหาที่ยึด เช่น กาวสองหน้าหรือแผ่นยางกันลื่นมาติดกับองค์พระ เพื่อป้องกันการตกหล่นในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ หากเป็นแบบแขวนควรเลือกขนาดให้เหมาะสมไม่ใหญ่หรือมีน้ำหนักมากเกินไป เวลารถเลี้ยวจะได้ไม่เหวี่ยงไปกระแทกกับกระจกหน้ารถ

    3. ไม่ควรมีจำนวนมากเกินไป

    การเชื่อมั่นเคารพบูชาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราไม่ควรนำพระ หรือวัตุมงคลต่าง ๆ เข้ามาไว้ในรถมากจนเกินไป เพราะนอกจากจะทำให้รถดูอึดอัดคับแคบแล้ว ยังเสี่ยงอันตรายหากเกิดอุบัติเหตุ และยิ่งถ้าพระ-วัตถุมงคลต่าง ๆ มีมูลค่าสูง ก็อาจถูกโจรกรรมได้

    ทั้งนี้การตั้งบูชาพระหน้ารถ หรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ตามความเชื่อนั้นสามารถทำได้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่ควรบูชาให้เหมาะสม และที่สำคัญไม่ว่าพระที่เราบูชาจะมีชื่อเสียง หรือบารมีแค่ไหนหากเราขับรถด้วยความประมาท อุบัติเหตุก็สามารถเกิดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นควรขับขี่อย่างมีสติ ไม่ประมาท ใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนดก็สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view250379.html

    ไฟหรี่มีไว้ทำไม

    หน้าที่หลักของระบบไฟหน้า คือการให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ชัดเจนในกรณีที่ภายนอกมีแสงน้อยหรือเข้าสู่ช่วงกลางคืน พร้อมกับแจ้งเตือนทิศทางให้คันข้างหน้าได้ทราบ ซึ่งมีหลายฟังก์ชันให้คุณได้ใช้งานเพื่อช่วยเหลือเจ้าของรถและผู้โดยสารในสถานการณ์ต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ ไฟหรี่ ที่หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่น้อยคนที่จะใช้งานเป็น ดังนั้นเพื่อเป็นการคลายข้อสงสัยว่า ไฟหรี่รถยนต์ คืออะไร และมีไว้ทำไม เราไปทำความรู้จักพร้อม ๆ กันเลย 

    ไฟหรี่รถยนต์ คืออะไร

    ไฟหรี่รถยนต์ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Sidelights จะเป็นไฟขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างไฟหน้า โดยหน้าที่ของมันคือการเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นพื้นที่ที่มีไฟน้อย แต่ไม่ต้องการใช้แสงที่สว่างมาก เช่น การขับรถในอุโมงค์ หรือการค้นหาที่จอดรถในลานจอดรถ หรือต้องการเปิดไว้เพื่อบอกให้รถคันอื่นทราบว่ามีรถจอดอยู่ เป็นต้น สำหรับไฟหรี่รถยนต์จะต้องใช้ไฟสีขาวหรือสีเหลืองเท่านั้น และต้องเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง หากเป็นสีอื่นนอกเหนือจากที่ระบุไว้ถือว่าผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่มีการแก้ไขดัดแปลงโคมไฟหน้าให้เป็นแสงสีอื่น หรือดัดแปลงอุปกรณ์ส่วนควบเพิ่มเติมส่วนหนึ่งส่วนใดเข้าไป ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

    ไฟหรี่รถยนต์มีประโยชน์อย่างไร

    เนื่องจากเป็นไฟที่มีกำลังต่ำ ช่วยควบคุมปริมาณแสงไฟไม่ให้สว่างมากเกินไป ซึ่งทำให้คุณสามารถมองเห็นพื้นที่ระยะใกล้ได้ดีกว่าการใช้ไฟหน้าหรือไฟสูงเพียงอย่างเดียว นอกจากนั้นยังไม่เป็นการรบกวนผู้สัญจรคนอื่น หรือคนในชุมชนที่กำลังพักผ่อนในเวลากลางคืน โดยเฉพาะการเปิดไฟหรี่เพื่อส่องประตูหน้าบ้าน หรือส่องกะระยะจอดรถในที่มืดหรือโรงรถ 

    อีกทั้งเมื่อขับรถบนท้องถนนที่มีมากกว่า 2 เลน หากรถคุณไม่มีเทคโนโลยีปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ หรือ Auto High Beam การใช้ไฟหรี่จะช่วยให้ไม่รบกวนรถที่อยู่ด้านหน้า หรือรถที่วิ่งสวนทางมา เนื่องจากให้ความสว่างที่เพียงพอ รวมถึงยังมีประโยชน์ใช้เป็นชุดสำรองเมื่อชุดไฟหลักขาด

    ในบางประเทศได้มีการกำหนดเป็นข้อกฎหมายของการเปิดไฟหรี่รถยนต์ อาทิ ในสหราชอาณาจักร ผู้ใช้รถต้องเปิดไฟหรี่เมื่อขับด้วยความเร็วไม่เกิน 30 ไมล์/ชม. หรือราว 48 กม./ชม. หากฝ่าฝืนจะมีความผิดฐานละเมิดระเบียบข้อบังคับด้านแสงสว่างสำหรับยานพาหนะบนถนน ปี 1989 ซึ่งจะต้องเสียค่าปรับตั้งแต่ 35-75 ปอนด์ หรือ 1,500-3,300 บาท

    ไฟหรี่รถยนต์ ต่างจากไฟส่องกลางวันอย่างไร

    ไฟหรี่จะช่วยเพิ่มระยะการมองเห็น และสามารถมอบทัศนวิสัยในการมองได้ในทุกสภาวะโดยไม่ต้องเปิด-ปิดไฟบ่อย ๆ เช่น เจอฝุ่นควัน หรือเมฆบังแดด แต่อาจจะส่งผลให้ลดอายุขัยของหลอดไฟได้ หรือกินพลังงานจนแบตเตอรี่หมดไว จึงทำให้ผู้ผลิตได้พัฒนาไฟส่องกลางวัน หรือ Daytime Running Light (DRLs) โดยใช้หลอด LED ที่นอกจากช่วยเพิ่มการมองเห็นในการขับขี่เวลากลางวันแล้ว ยังทำให้รถคุณดูดีอีกด้วย ซึ่งความแตกต่างของไฟ Daytime Running Light กับไฟหรี่ นอกจากจะเป็นในส่วนของรูปทรงแล้ว ความสว่างก็ยังแตกต่างกันด้วย โดยไฟ Daytime Running Light จะส่องสว่างมากกว่าไฟหรี่

    แม้ในปัจจุบันการพัฒนารถใหม่ได้ให้ความสำคัญแก่ระบบโคมไฟหน้า ไฟตัดหมอก และไฟท้ายที่ทันสมัย ปรับความเข้มของแสงได้หลากหลาย หรือไฟหน้ารถบางรุ่นสามารถทำงานได้หลากรูปแบบตามโหมดระบบส่องสว่าง หรือสามารถหันได้ตามองศาการเลี้ยว แน่นอนว่าก็มีโหมดไฟหรี่รถยนต์ที่ผู้ใช้รถสามารถปรับเลือกได้ หรือหากใครที่ใช้รถรุ่นเก่าที่ไม่มีเทคโนโลยีมากมายนัก การใช้ไฟหรี่ก็เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกในระหว่างขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้มองเห็นเส้นทาง และระหว่างจอดรถก็ช่วยสร้างความปลอดภัยได้ในหลากหลายสถานการณ์ อีกทั้งยังจะเป็นไฟสำรองได้ในกรณีที่ไฟหลักของรถขาด 

    แต่เหนือสิ่งอื่นใด การศึกษาคู่มือรถยนต์เพื่อให้ได้รู้จักหน้าที่ของระบบไฟแต่ละชนิด และหมั่นใช้งานจริงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการใช้รถใช้ถนนแล้ว ยังทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกเยอะเลยครับ

    ขอบคุณข้อมูลจาก : autobulbsdirect.co.ukpowerbulbs.comrac.co.ukdlt.go.thkrisdika.go.th

    แหล่งอ้างอิง : https://car.kapook.com/view250379.html

    ล้างรถอย่างถูกวิธีทำไงนะ

    ทุกวันนี้กิจการหนึ่งที่เราเห็นผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดทุกวันคงไม่พ้นกิจการร้านล้างรถ ที่ทำให้ชาวคนรักรถหลายคนแวะเวียนไปขัดสีฉวีวรรณรถของตัวเอง แต่แม้มันจะง่ายและได้เสียเงินกัน ทว่า บางครั้งเราก็ควรจะล้างรถด้วยตนเองด้วย และมันอาจจะทำให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรถของเราไปพร้อมกันด้วย
    การล้างรถ ฟังดูก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่สายยาง น้ำ และแชมพูก็น่าจะสิ้นเรื่องแล้ว แต่ความจริง การที่ธุรกิจล้างรถผุดขึ้นมานั้น ก็เนื่องจากเรื่องง่ายอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเรื่องสำคัญของการล้างรถคือการใส่ใจในรายละเอียด และถ้าวันนี้ใครยังไม่เคยรู้ว่าการล้างรถจริงๆควรจะทำอย่างไร วันนี้เราจะมาเรียนรู้การล้างรถอย่างถูกวิธีกัน

    1.ฉีดน้ำมือถู ..เรื่องที่ควรทำก่อนเริ่มกระบวนการ หลายคนที่เคยไปตามร้านล้างรถคงจะพอรู้ขั้นตอนการล้างรถดี แล้วมันก็เริ่มจากการฉีดน้ำลงบนตัวรถ ซึ่งการฉีดน้ำไม่ได้มีเหตุผลในการเตรียมลงน้ำยามแชมพูล้างรถ แต่คือการขจัดคราบดิน ฝุ่น และ สิ่งสกปรกอื่นๆ ออกจากรถก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ ซึ่งตามร้านเหล่านั้นจะมีเครื่องปั้มน้ำแรงดันสูง ทำให้แค่เพียงฉีดคราบสกปรกก็หายไป แต่ถ้าเราที่บ้านน้ำที่ไม่แรงมาก ทำให้เราควรจะใช้มือถูตามไปกับการราดน้ำพร้อมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นการขัดฝุ่นและคราบสกปรกก่อน ในส่วนใดที่มีคราบเกาะติดแน่นให้ใช้การฉีดน้ำร่วมแล้วนำมือถูด้วย

    2.รู้จักแชมพูที่จะใช้ อันที่จริงถ้ารถคุณไม่ได้สกปรกมาก จากขึ้นตอนแรกจะพบว่า สีรถจะสวยขึ้นมาทันตาเห็น แน่นอนว่าการล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สามารถทำให้สะอาดได้ และไม่กินเวลามากนัก แต่อย่าใช้วิธีการนำผ้าชุบน้ำเช็ดรถเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดรอยขนแมวตามมา (รอยขนแมวคือ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนผิวแลกเกอร์ของตัวรถ ทำให้เป็นรอยเล็กๆเยอะๆ เมื่อส่องไฟ) แม้เราจะบอกว่าน้ำสะอาดก็พอแต่การที่เราจะล้างรถได้หมดจด โดยเฉพาะคราบฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยเปล่านั้น ต้องอาศัย น้ำยาล้างรถ ซึ่งปัจจุบันมี 2 แบบที่นิยมกัน คือ แชมพูและโฟม ซึ่งมีจุดประสงค์เดียวกัน ขจัดคราบเหมือนกัน แต่ต้องเข้าใจก่อน

    แชมพู – เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักแชมพูล้างรถเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ยี่ห้อที่หลากหลายออพชั่นที่ผสมแว็กมากมาย สรุปสุดท้ายก็เหมือนกันอยู่ดี คือมันมีหน้าที่ ในการขจัดคราบเป็นสำคัญ แชมพูล้างรถก็ไม่ต่างอะไรจากแชมพูสระผมนัก แต่อย่าเข้าใจผิดว่าใช้แทนกันได้ …นะครับ แชมพูสระผมจะขจัดคราบดีเมื่อเทลงไปบนหัว แต่กลับกันตัวแชมพูล้างรถจะต้องผสมน้ำก่อนในอัตราส่วนที่กำหนดแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งการใช้งานก็คือจุ่มทั้งฟองและน้ำยาถูไปบนตัวรถเลย สิ่งที่ต่างคือตัวน้ำยาจะมีความลื่นนั่นเอง แต่เหล่าโปรล้างรถบอกว่าแชมพูจะให้รายละเอียดสู้โฟมไม่ได้ แต่ก็พอใช้ได้ถ้าล้างเอง

    โฟม – ในช่วงหลายปีมานี้โฟม ถูกพูดถึงมาก เราเห็นร้านล้างรถติดป้ายกันประจำ ทว่าอันที่จริงโฟมนั้น คือฟองที่เกิดจากการใช้หัวเชื้อผสมลงไปแล้ว แล้วนำเอาฟองโฟมมาใช้ในการทำความสะอาดรถ ซึ่งปัจจุบันมีน้ำยาล้างรถบางยี่ห้อทำออกมาในแบบเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบล้างรถเอง

    การใช้โฟมล้างรถนั้นมีข้อดีที่ฟองโฟมที่มีคุณภาพจะให้เนื้อฟองที่แน่นและละเอียด ทำให้ขจัดคราบได้ดีกว่าแชมพู แต่แน่นอนการใช้โฟมล้างรถ คือการใช้ฟอง ขจัดคราบสกปรกเป็นสำคัญ

    3.ถูอย่างระวังเมื่อเลือกน้ำยาล้างรถได้ และจัดการผสมตามสัดส่วนแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญต่อมาคือการถูอย่างระมัดระวัง การถูกแชมพูหรือโฟมนั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และจุดประสงค์มันคือการกระจายน้ำยาให้ทั่วบริเวณ ซึ่งหากเป็นไปได้อาจจะใช้ผ้า หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้หาซื้อฟองน้ำอย่างดี ราคาแพงเล็กน้อยแต่ใช้ยาว

    หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการลงน้ำยาคือการถูเพื่อขจัดคราบสกปรก ทั้งที่จริงๆ เราใช้น้ำยาและน้ำเป็นตัวช่วยขจัดคราบ ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องถูแรงมากนัก แค่ถูธรรมดาเท่านั้น และเช่นเดิม ควรเริ่มจากหลังคาก่อน เพราะเป็นจุดสูงที่สุดของตัวรถ จากนั้นไล่ลงมาที่บอดี้ของตัวรถ แล้วค่อยเก็บรายละเอียดเล็กๆที่เหลือ เช่นซอกมุมต่างๆ

    4.อย่าทิ้งนาน หลายครั้งที่การล้างรถของเราที่บ้านทำคนเดียว แน่นอนว่ารถ 1 คัน จะลงน้ำยาเสร็จทั้งคันคนเดียวก็ใช้เวลานานอยู่ แต่หากคุณต้องทำคนเดียว ควรจะเลือกลงน้ำยาและล้างไปเป็นส่วนๆ เพื่อลดการที่นำยาจับตัวเป็นคราบแห้ง และ เมื่อล้างไปตามส่วนอื่นๆ อย่าลืมฉีดน้ำในส่วนที่ทำความสะอาดแล้วด้วย เพื่อไม่ให้ก่อตัวเป็นคราบน้ำ ก่อนที่เราจะเช็ดแห้ง

    5.เช็ดแห้ง..จุดตกม้าตายของหลายคนมาถึงตรงนี้ในที่สุดเราก็มาถึงขั้นสุดท้ายของการล้างสีรถภายนอกแล้ว หลายคนมักคิดว่าการล้างรถง่ายนิดเดียว แต่ท้ายที่สุดเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเช็ดแห้งคือการชีชะตาผมงานว่าจะออกมาหมู่หรือจ่า กัน

    การเช็ดแห้งนั้น ควรใช้ผ้าที่มืเนื้อนุ่มซับน้ำง่าย หากงบน้อยแนะนำผ้าสำลี หรือมีงบเพิ่มขึ้นมาหันไปคบผ้าไมโคไฟเบอร์สังเคราะห์ หรือ ชาร์มัวร์สังเคราะห์ ทว่าก็ต้องมีหลายผืนหน่อยเพราะผ้ามักจะอุ้มน้ำ แต่ถ้าดีที่สุดต้องเป็นผ้าชามัวร์ เนื่องจากสามารถซับน้ำได้ดีเร็ว และ ทำให้ลดเวลาในการเช็ดได้มากและไม่ค่อยเกิดเป็นคราบน้ำ ที่สำคัญควรมีผ้า 2 ผืนเพื่อเช็ด แล้วเช็ดแห้งตามทันที

    การเช็ดแห้งควรเริ่มทำทันทีหลังจากล้างคราบน้ำยางล้างรถออก ให้เริ่มจากบนลงล่างเช่นเดิม โดยการเช็ดควรดูเช็ดให้รายละเอียด ให้ใช้เวลานานในการเช็ด ที่สำคัญห้ามลืมในการใส่รายละเอียดตามซอกประตู ฝาถังน้ำมัน ซึ่งน้ำจะเข้าไปซุกและเป็นคราบได้ในท้ายที่สุด

    แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่ยากแต่การล้างรถนั้น สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในรายละเอียดการล้างรถ ซึ่งการล้างรถที่ดีนั้นต้องใช้เวลากับมันพอสมควร เพื่อขจัดคราบสกปรกได้อย่างหมดจดจริงๆ

    ขอบคุณเนื้อหาจาก auto.sanook.com

    แหล่งอ้างอิง : https://www.107motor.com/17042227/%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B0

    เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยาง

    ยางรถยนต์ไม่ได้หมดอายุจากการสึกของดอกยางเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ยางหมดอายุได้ โดยแบ่งเป็น 6 ลักษณะ คือ ดอกหมด ไม่เกาะ เนื้อแข็ง โครงสร้างกระด้าง เสียงดัง หรือแก้มบวม ถ้าเกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กัน ก็ถือว่ายางนั้นหมดอายุ การเปลี่ยนยาง ควรเปลี่ยนพร้อมกันทั้ง 4 เส้น เพราะยางผ่านการใช้งานมาเท่ากัน ย่อมมีการสึกหรอและสภาพภายในที่ใกล้เคียงกัน โดยควรเลือกใช้ยางรุ่น และขนาดเดียวกันทั้ง 4 ล้อ
    สาเหตุของการหมดอายุของยาง
    ดอกหมด – ถ้ายางดอกหมด หรือร่องยางเหลือตื้นมาก แต่ส่วนประกอบของยางเส้นนั้นยังดีอยู่ ก็ยังสามารถใช้บนถนนเรียบ และแห้งได้ และจะเกาะถนนแห้งดีกว่ายางมีดอกที่มีความกว้างเท่ากัน เพราะมีพื้นที่สัมผัสถนนมากกว่า ส่วนร่องยางมีหน้าที่ในการรีดน้ำ ฝุ่น และโคลนเป็นหลัก ยิ่งร่องตื้น หน้าสัมผัสของดอกยางก็ยิ่งมาก เพราะร่องยางส่วนใหญ่เป็นทรงกึ่งตัววี – V แต่รถยนต์ที่ขับใช้งานทั่วไป ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อไรจะเจอถนนเปียก เมื่อยางดอกหมดหรือหรือมีความลึกต่ำกว่าที่กำหนด ก็ควรเปลี่ยนชุดใหม่

    เนื้อแข็ง – ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาง ที่เมื่อถูกความร้อน (ที่ไม่ร้อนจัดถึงขั้นละลาย) ก็จะค่อย ๆ แข็งขึ้น ยางรถยนต์ส่วนใหญ่ เมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง และได้รับความร้อนจากสภาพอากาศ พื้นถนน และการบิดตัวของยางเอง ซึ่งเกิดขึ้นตลอดการหมุน เนื้อยางก็จะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเนื้อยางเริ่มแข็งขึ้น การสึกของดอกยางก็จะช้าลง มองดูแล้วเห็นว่าร่องยางยังลึกอยู่ แต่แรงเสียดทานระหว่างดอกยางกับผิวถนนจะมีน้อยลง และโครงสร้างภายในของยางก็เสื่อมสภาพลงด้วย หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง เมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว แทบไม่มียางรุ่นไหนที่ดอกสึกเร็วขึ้น ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลยเมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่ ทดสอบง่าย ๆ โดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายาง เปรียบเทียบกับยางใหม่ ๆ ที่สามารถจิกลงไปในเนื้อยางได้ง่าย และลึกกว่า หากดอกยางยังไม่หมด เฉลี่ยคร่าว ๆ ว่า เมื่อเกิน 3 ปี หรือเกิน 50,000 กิโลเมตร หากต้องการใช้งานต่อ ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพอย่างสม่ำเสมอ และควรหลักเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงกว่า 3 ปี

    เสียงดัง – เป็นผลต่อเนื่องมาจากการแข็งตัวของเนื้อยาง ทำให้ขาดความยืดหยุ่น ลื่น และเกิดเสียงดังขึ้นขณะขับ โดยเฉพาะยางที่มีดอกขนาดใหญ่ และร่องยางห่าง ซึ่งปกติก็มีเสียงดังอยู่แล้ว เมื่อผ่านการใช้งานไปนาน ๆ ก็จะมีเสียงดังมากขึ้น

    แก้มบวม – มักเกิดจากการหมดอายุของโครงสร้างภายใน หรือการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น การขับตกหลุมหรือเบียดเข้าขอบทางเท้า จนโครงสร้างภายในบริเวณแก้มยางแตกหักเสียหาย บริเวณแก้มยางจะป่องออกมาคล้ายลูกมะนาว ซึ่งมีอันตรายมากอาจถึงขั้นยางระเบิด โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นบริเวณแก้มยางด้านใน ซึ่งสังเกตได้ยาก


    ดังนั้น จึงมีข้อควรจำก็คือ หากตกหลุมหรือกระแทกอะไรแรง ๆ ควรรีบตรวจสอบยางเส้นนั้นอย่างละเอียดทั้ง 2 ด้าน ถ้าพบว่ามีการบวม ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที

    เกร็ดการยืดอายุยาง
    1. ตรวจสอบหน้ายางและแก้มยางว่ามีความเสียหายใด ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น รอยบาด การบวม การแตกลายงาในทุกส่วนของยาง หากเกิดการชนหรือบาดกับของมีคมหรือเศษวัสดุก่อสร้างบนท้องถนนที่แก้มยางจนถึงชั้นผ้าใบ ควรเปลี่ยนใหม่ ไม่ควรซ่อม เพราะแก้มยางคือจุดที่ต้องรับน้ำหนัก และมีการบิดตัวไปมาขณะรถยนต์ขับเคลื่อน อาจเกิดการระเบิดได้หากมีการฉีกขาด

    2. น้ำมันทุกชนิดมีผลทำให้ยางบวมหรือร่อน ควรหลีกเลี่ยงการจอดหรือขับทับน้ำมัน หรือหากมีน้ำกรดโดนยาง ควรล้างออกด้วยน้ำสบู่เท่านั้น เพราะมีค่าเป็นด่าง

    3. ตรวจสอบสภาพของกระทะล้อ และวาล์วเติมลมเป็นประจำ เพราะบ่อยครั้ง การแบนหรือรั่วซึมมาจาก 2 จุดนี้ ไม่ได้เกิดจากตัวยาง และควรมีฝาปิดจุกเติมลมให้มิดชิด

    4. เมื่อรถเสีย และถูกลากเป็นระยะทางไกล ๆ (สำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า) ควรเพิ่มแรงดันลมยางที่ล้อหลังอีก 3-4 ปอนด์/ตารางนิ้ว

    5. การเข้าโค้งอย่างรุนแรง หรือการออกตัวแบบกระชากกระชั้น ทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติ

    6. ตรวจสอบความลึกของดอกยางว่าถึงระดับที่ควรเปลี่ยนหรือยัง ซึ่งความลึกของร่องยางที่เหมาะสม ควรมากกว่า 2 มม. โดยยางเกือบทุกรุ่นจะมีสัญลักษณ์บอกระดับความลึกของดอกบาง เป็นแท่งเชื่อมระหว่างดอกยางบริเวณส่วนลึกสุดของร่องยาง (ไม่ใช่ทุกร่อง) เมื่อไรที่ดอกยางสึกจนถึงแท่งนี้ แสดงว่าควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่

    อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นของยางควบคู่ไปด้วย เช่น สภาพของเนื้อยางมีการบวม หรือแตก เพราะยางบางเส้นอาจหมดอายุการใช้งาน เนื่องจากสภาพของเนื้อยาง แม้ดอกยางยังมีความลึกมากกว่า 2 มม. ก็ตาม

    7. ควรแคะก้อนกรวดที่ค้างอยู่ในร่องยางออกให้หมด เพราะสิ่งเหล่านี้จะค่อย ๆ เบียดลงไปจนทำให้ทิ่มตำเนื้อยางได้

    การรับน้ำหนัก และความเร็วของยาง
    นอกจากการขับขี่อย่างระมัดระวัง และดูแลรักษาที่ถูกวิธีแล้ว การเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำหนักบรรทุก และข้อจำกัดความเร็วของยางแต่ละเส้น ให้เหมาะสม ก็มีส่วนในการยืดอายุการใช้งาน เหนือสิ่งอื่นใด ยังหมายถึงความปลอดภัยของชีวิตด้วย

    บนแก้มของยางแต่ละเส้นนั้น จะมีตัวเลข 1 คู่ และตามด้วยตัวอักษร ซึ่งจะบ่งบอกว่า ยางเส้นนี้ รับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด และความเร็วสูงสุดได้แค่ไหน ยกตัวอย่าง เช่น 87V ตัวเลข 2 หลักหมายถึง ดัชนีน้ำหนักบรรทุกของยางเส้นนั้น หรือ LOAD INDEX มีหน่วยเป็นกิโลกรัม ซึ่งต้องอาศัยตารางในการเปรียบเทียบ ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ตามตัวอย่างก็คือ V เป็นสัญลักษณ์ความเร็ว หรือ SPEED SYMBOL หมายถึ ง ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้นรับได้ มีหน่วยเป็นกิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ควรใช้ความเร็วสูงสุดเกินกว่าที่ยางรับได้ และถ้ายางผ่านการใช้งานมานาน ก็ไม่ควรขับถึงหรือใกล้ความเร็วสูงสุดที่ยางเส้นนั้นรับได้ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุระเบิดได้

    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก car4ur.com

    แหล่งอ้างอิง : https://www.107motor.com/17012795/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87

    5 อันดับ รถยนต์ขวัญใจรถยก

    อันดับที่1 FORD FIESTA
    มักเจออาการเครื่องยนต์ร้อน น้ำในหม้อน้ำแห้งไวกว่ารุ่นอื่น มักเจอได้บ่อยๆในรุ่นนี้

    อันดับที่2 CHEVROLET CRSUE 1.8
    มักเจออาการเกียร์กระตุก ใส่เกียร์เร่งเครื่องไม่ไป จะเจอเฉพาะรุ่นที่เครื่อง 1.8
    ด้วยหน้าตาที่สวยดุ ผู้ใช้จึงรับได้กับปัญหา

    อันดับที่3 FORD FOCUS
    ซีนเกียร์กับซีนท้ายเครื่องมักรั่วบ่อย และยางแท่นเครื่องเสื่อมอายุได้ไวกว่ารุ่นอื่น มักพบอาการเกียร์กระตุก
    และเร่งไม่ขึ้น อยู่ในรุ่นนี้บ่อยๆ

    อันดับที่4 CHEVROLET CAPTIVA
    มักมีอาการเครื่องกระตุก เดินเบาแล้วเครื่องดับบ่อย อัตราเร่งไม่ขึ้น สาเหตุมักมาจากแกนเทอร์โบว์

    อันดับที่5  MG ZS
    ปัญหาหลักๆ ที่พบบ่อยๆ เครื่องยนต์ดับบ่อยหรือพวงมาลัยล็อคเองบ่อย ด้วยหน้าตาที่สวยกว่าหลายๆรุ่น
    ผู้ใช้งานส่วนใหญ่จึงมองข้ามปัญหาไปได้

    ออกรถใหม่ทําไมต้องเหยียบมะนาว ช่วยแก้เคล็ดได้จริงหรือ ?

    ในการออกรถใหม่นั้น มีพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายที่เกิดจากความเชื่อและมีคนปฏิบัติกันมายาวนาน เพราะต่างเชื่อว่าช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิต ขับขี่แคล้วคลาดปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการให้พระเจิมรถ การไหว้แม่ย่านางรถ หรือการขับรถเหยียบมะนาว ซึ่งบางคนก็อาจจะสงสัยว่า “การเหยียบมะนาวตอนออกรถใหม่” คืออะไร ต้องทำยังไง และทำไปทำไม วันนี้เรามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน 

    ออกรถใหม่ ทําไมต้องเหยียบมะนาว

    ผู้ขับขี่รถยนต์ชาวไทยมีความเชื่อกันมานานว่า การให้ล้อรถเหยียบมะนาวตอนขับรถใหม่ครั้งแรกนั้น ถือเป็นเคล็ดที่จะช่วยให้ล้อรถเกาะติดถนนได้ดีขึ้น ไม่ลื่นไถล สามารถควบคุมรถได้สะดวก ปลอดภัยจากอุบัติเหตุตลอดการเดินทาง นอกจากนี้ในกรณีที่ซื้อรถมือสอง ก็ยังมีความเชื่อว่าการขับรถเหยียบมะนาวจะช่วยดูดซับและชะล้างขจัดสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ออกไปไม่ให้ติดมากับตัวรถได้อีกด้วย

    ออกรถใหม่เหยียบมะนาว ต้องทำยังไงบ้าง

    สำหรับการทำพิธีขับรถเหยียบมะนาวตอนออกรถใหม่นั้น สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ในวันแรกก่อนขับรถออกจากศูนย์ ให้นำมะนาวมาวางใต้ล้อรถข้างละลูก หรืออาจผ่าเป็นซีกแบ่งวางล้อละซีกก็ได้แล้วแต่ความเชื่อ จากนั้นก็สตาร์ตรถขับเหยียบมะนาวที่วางไว้ให้แตกก็เป็นอันเสร็จพิธี สามารถขับรถออกสู่ถนนได้เลย

    คาถาออกรถใหม่ สำหรับไหว้แม่ย่านางรถ

    นอกจากการขับรถเหยียบมะนาวเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ก็ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่ควรทำเมื่อออกรถใหม่อีก อย่างเช่นการท่องคาถาออกรถใหม่ เพื่อไหว้แม่ย่านางรถ โดยให้นำพวงมาลัย 2 ชาย จำนวน 3 พวง ห้อยหรือแขวนไว้ที่กระจกมองหลัง หรือแขวนไว้ที่พวงมาลัยรถยนต์ เพื่อบูชาแม่ย่านาง แล้วท่องคาถาแคล้วคลาดของ พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนนฺโท) วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา ดังนี้

    อิติ สุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ

    ปะฐะวีคงคา ภุมมะเทวา ขะมามิหัง

    สุจิตโต พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

    สิ่งอื่น ๆ ตามความเชื่อที่ควรปฏิบัติเมื่อออกรถใหม่

    1. ในการออกรถเพื่อให้เป็นมงคลสูงสุด ควรนำรถไปให้พระเจิม ปิดทอง พรมน้ำมนต์

    2. ห้ามนำรถเข้าที่เสื่อมในวันแรก อย่างเช่น บาร์ เธค ผับ อาบอบนวด ฯลฯ

    3. ทุกครั้งที่จับพวงมาลัย ก่อนจะออกรถควรท่องคาถาว่า สุจิตโต ซึ่งแปลว่า ไปดี

    4. อย่าฝ่าฝืนกฎจราจรในการขับรถ และต้องอยู่ในกติกาของจราจร เช่น เมาแล้วห้ามขับ

    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะขับรถเหยียบมะนาวหรือทำพิธีเพื่อความป็นสิริมงคลใด ๆ แล้ว ก็อย่าลืมขับรถอย่างไม่ประมาทและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดกันด้วยนะครับ และสำหรับใครที่อยากรู้ขั้นตอนการไหว้แม่ย่านางรถ สิ่งของที่ต้องใช้ และข้อมูลอื่น ๆ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : ไหว้แม่ย่านางรถ ใช้อะไรบ้าง ใช้ธูปกี่ดอก มีวิธีและขั้นตอนอย่างไร

    แหล่งที่มา: เว็บไซต์ car.kapook.com

    สีรถถูกโฉลกตามราศี เสริมดวงดี ขับขี่แล้วมั่นใจ

    ชื่อว่ามีหลายคนที่คิดจะซื้อหรือเปลี่ยนรถใหม่โดยเลือกสีตามความชอบของตัวเอง แต่ก็มีไม่น้อยที่เลือกสีรถที่ชอบด้วย และถูกโฉลกกับตัวเองด้วย เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเลือก “สีรถถูกโฉลกตามราศีเกิด” มาแนะนำ ส่วนราศีไหนจะเหมาะกับรถสีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย 

    สีรถถูกโฉลกตามราศี เลือกสีอะไรดี ?

    • ราศีเมษ (Aries) : สีแดง, เหลือง, ส้ม
    • ราศีพฤษภ (Taurus) : สีขาว, เขียว, ดำ
    • ราศีมิถุน (Gemini) : สีแดง, เขียว, เทา
    • ราศีกรกฎ (Cancer) : สีขาว, แดง, เหลือง
    • ราศีสิงห์ (Leo) : สีแดง, เหลือง, ส้ม, ขาว
    • ราศีกันย์ (Virgo) : สีแดง, เขียว, เทา
    • ราศีตุลย์ (Libra) : สีขาว, เขียว, ดำ
    • ราศีพิจิก (Scorpio) : สีแดง, เหลือง, ส้ม
    • ราศีธนู (Sagittarius) : สีแดง, เหลือง, ส้ม, ทองแดง
    • ราศีมังกร (Capricorn) : สีน้ำเงิน, เขียว, เหลือง
    • ราศีกุมภ์ (Aquarius) : สีน้ำเงิน, เขียว, เหลือง
    • ราศีมีน (Pisces) : สีแดง, เหลือง, ส้ม, ทองแดง

    รถยนต์ที่ใช้ร่วมกัน ต้องเลือกสีตามราศีของใคร ?

    สำหรับในกรณีที่รถคันเดียวแต่แบ่งกันใช้หลายคน อย่างเช่นคู่สามี-ภรรยา ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แล้วอย่างนี้จะต้องเลือกสีรถตามราศีของใครดีล่ะ ? ซึ่งทางออกก็มีหลายวิธี ประการแรกเลยคือ ให้ลองหาสีที่ตรงกับราศีของทั้งคู่ ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งเกิดราศีสิงก์ ส่วนอีกคนเกิดราศีมังกร ก็สามารถเลือกรถสีเหลืองได้ เพราะสีเหลืองถูกโฉลกกับทั้งสองราศีนั่นเอง นอกจากนี้ ก็ยังสามารถเลือกสีภายนอกรถตามราศีของคนหนึ่ง แล้วเลือกสีภายในรถตามราศีของอีกคนได้ หรือจะใช้วิธีนำสติ๊กเกอร์อีกสีหนึ่งมาแปะบนรถก็ได้เช่นกัน และในกรณีที่มีคนใดคนหนึ่งใช้รถบ่อยกว่า อาจให้ยึดสีรถตามราศีของคนนั้นเป็นหลักก็ได้

    อย่างไรก็ตาม การเลือกสีรถเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเชื่อเรื่องการเสริมดวงชะตาเท่านั้น ซึ่งยังมีหลักอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสีรถตามวันเกิด , สีรถตามปีเกิด หรือการเลือกเลขทะเบียนรถ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากสีที่ถูกโฉลกกับตัวเองไม่ใช่สีที่ชอบ หรือมีสีที่ชอบในใจแต่ดันไม่ถูกโฉลก เรื่องนี้ก็คงต้องตัดสินใจแล้วล่ะว่าให้ความสำคัญกับสิ่งไหนมากกว่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล 

    แต่ประเด็นสำคัญที่จะต้องไม่ลืมคือ หากเราขับรถโดยประมาท ถึงแม้จะเลือกสีรถเสริมดวงก็ย่อมอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยทั้งกับตนเองและกับผู้อื่น ควรขับขี่ให้ถูกต้องตามกฎจราจรมากที่สุด รวมถึงมีสติตลอดเวลายามขับขี่นั่นเอง

    แหล่งที่มา: เว็บไซต์ car.kapook.com

    ฮวงจุ้ยรถยนต์ 2022 กับเคล็ดลับเสริมดวงเพื่อความเป็นสิริมงคล

    ฮวงจุ้ย คือ ศาสตร์ความเชื่อที่อยู่คู่กับคนเรามาอย่างยาวนานว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมดวงชะตาให้ชีวิตพบกับความโชคดี ซึ่งนอกจากฮวงจุ้ยบ้านแล้ว เรื่องของ “ฮวงจุ้ยรถยนต์” ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถหลายท่านให้ความสนใจ เพราะจะนำพาความเป็นสิริมงคลเข้ามาในชีวิต เดินทางปลอดภัยแคล้วคลาด ดวงดี และวันนี้เราจะพาไปดูกันว่ามีวิธีเสริมฮวงจุ้ยรถยนต์อย่างไรบ้างที่คุณเองก็สามารถทำได้ง่าย ๆ

    1. ภายในห้องโดยสารต้องไม่รกหรือสกปรก

    ลองสำรวจดูว่าภายในห้องโดยสารมีของรกรุงรัง คราบสกปรก หรือเศษขยะอะไรอยู่หรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตามหลักของฮวงจุ้ยรถยนต์เป็นสิ่งของที่ไม่ควรมี เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความซึมเศร้า ไม่สดใส และอาจส่งผลร้ายทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เสียทรัพย์ได้ ดังนั้นควรทำให้ภายในห้องโดยสารสะอาด ไม่รกรุงรัง ดูโปร่งโล่งสบาย นอกจากจะช่วยให้รถยนต์มีพลังงานที่ดีแล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขอนามัย เพราะขยะเหล่านั้นรวมถึงฝุ่นละอองต่าง ๆ จะเป็นบ่อเกิดของกลิ่นและเชื้อโรค

    2. กระจกทุกบานต้องใสและสะอาด

    กระจกเป็นส่วนสำคัญของฮวงจุ้ยรถ ดังนั้นการดูแลรักษากระจกให้สะอาดและเงางามอยู่เสมอจะเป็นการเสริมฮวงจุ้ยของรถให้ดูดี ไม่ควรปล่อยให้กระจกหน้าและหลังรถหมอง หรือกระจกรถเป็นฝ้า รวมถึงกระจกหน้าต่างทุกบานต้องสะอาดทั้งด้านนอกและด้านใน เพื่อที่จะได้รับพลังงานบริสุทธิ์จากแสงธรรมชาติ อีกทั้งยังช่วยให้รถของคุณน่ามองและช่วยสร้างทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีขึ้น

    3. ไฟหน้ารถ

    ไม่ใช่แค่ทำความสะอาดกระจกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น “ไฟหน้า” ก็เป็นส่วนสำคัญตามหลักฮวงจุ้ย เพราะไฟหน้ารถยนต์ จะเปรียบเหมือนแสงที่ส่องสว่างนำทาง ซึ่งหากไฟที่นำทางไม่มีความสว่างเพียงพอก็จะทำให้การเดินทางไม่ราบรื่น ดังนั้นต้องหมั่นดูแลอย่าให้ไฟหน้าดับหรือขาด โคมไฟหน้ารถต้องไม่เหลืองขุ่นมัว ถ้ามีอาการดังกล่าวให้รีบแก้ไขโดยทันที เพื่อช่วยให้ชีวิตขับเคลื่อนไปได้ด้วยความราบรื่น ที่สำคัญยังช่วยในเรื่องความปลอดภัยขณะขับขี่อีกด้วย 

    4. หาน้ำหอมมาติดรถยนต์

    น้ำหอมรถยนต์ ก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการเพิ่มพลังงานบวกให้กับรถและตัวคุณเอง เพราะถ้าปล่อยให้ภายในรถมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะกลิ่นอาหารที่นำขึ้นไปกิน หรือจะเป็นกลิ่นขยะ กลิ่นควันไอเสีย ที่หลุดรอดเข้ามา ดังนั้นเราจึงควรกำจัดออกไปให้หมด เพื่อให้ได้รับกลิ่นที่บริสุทธิ์และหอมสดชื่น ทั้งการเปิดหน้าต่าง รวมถึงเลือกใช้น้ำหอมรถยนต์เข้ามาช่วย โดยควรหลีกเลี่ยงน้ำหอมกลิ่นเคมีรุนแรง เพราะจะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิได้

    5. ขับรถเปิดหน้าต่าง รับลมและแสงอ่อน ๆ

    หากคุณขับรถออกนอกเมืองแล้วพบว่ามีสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง ไร้ฝุ่น แดดร่ม ๆ และเดินทางในสถานที่ที่มีภูมิทัศน์สวยงาม เช่น บนภูเขา ริมทะเล ควรหาโอกาสปิดแอร์แล้วเปิดกระจกหน้าต่างรับลม เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยขจัดพลังงานด้านลบที่อยู่ภายในห้องโดยสารตามหลักของฮวงจุ้ย นอกจากนั้นยังสามารถช่วยขจัดความอับชื้น และกลิ่นอับที่หมักหมมอยู่ภายในห้องโดยสารได้ ช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจ หายใจเอาอากาศเข้าปอดได้อย่างเต็มที่ 

    6. สร้างบรรยากาศด้วยเพลงสบาย ๆ

    ในระหว่างขับรถ การฟังเพลงดี ๆ ก็ช่วยสร้างความรู้สึกตื่นตัวทางด้านร่างกายและอารมณ์ ซึ่งเพลงจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เพิ่มสมาธิในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เพราะสมองจะรู้สึกปลอดโปร่ง บวกกับจิตใจที่เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง แต่อย่าเปิดเสียงดังเกินไปเพราะจะส่งผลร้ายมากกว่าดี ควรเปิดในความดังที่ปกติ

    7. จัดท่านั่งขับรถให้ดูดี

    การจัดท่านั่งขับรถที่ถูกต้องและดูดีจะช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้กับรถและตัวคุณได้ ควรนั่งให้ก้นชิดเต็มเบาะ ปรับพนักพิงหลังให้ตั้งตรง คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งจะทำให้การขับขี่ดูมั่นคงและยังช่วยเสริมบุคลิกของผู้ขับให้ดูดีด้วย ที่สำคัญคือช่วยให้ผู้ขับมองเห็นเส้นทางอย่างชัดเจน และสามารถขับขี่รถได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย 

    8. พกขวดน้ำดื่ม

    การมีขวดน้ำดื่มไว้ในรถ นอกจากจะช่วยดับกระหาย เพิ่มความสดชื่นในระหว่างเดินทางแล้ว การมีน้ำอยู่ภายในรถจะมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ อุดมสมบูรณ์ สดชื่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังงานบวกและช่วยเสริมเรื่องโชคลาภด้วย ที่สำคัญควรเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ ปราศจากน้ำตาลและสารปรุงแต่ง เพื่อมอบความบริสุทธิ์กายบริสุทธิ์ใจทุกครั้งที่เดินทาง และควรระมัดระวังเรื่องของการวางขวดน้ำไว้ใกล้กระจก หรือมีแดดส่องรุนแรง จนอาจจะกลายเป็นเลนส์ที่ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ อีกทั้งไม่ควรวางขวดน้ำไว้ที่พื้นเพราะอาจจะหลุดไหลเข้าไปขัดระบบเบรกหรือคันเร่งได้

    9. พกเครื่องรางหรือพระไว้ที่รถ

    เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ใครหลายคนนิยม เพราะทำให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งในการขับขี่ และถือเป็นสัญลักษณ์ที่คอยเตือนสติ ซึ่งจริง ๆ แล้วอาจไม่จำเป็นจะต้องเป็นเครื่องรางของขลังหรือพระไว้ที่รถก็ได้ ขอแค่เป็นสิ่งที่คุณนับถือหรือเชื่อว่าสามารถสร้างพลังบวกให้กับตัวเอง ก็สามารถพกติดรถไว้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต้องไม่วางอยู่ในตำแหน่งที่บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 

    10. เลือกสีรถให้ถูกโฉลก

    นอกจากการปรับตามหลักฮวงจุ้ยที่ตัวรถแล้ว เรื่องของคนกับสีรถที่เลือกใช้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งหากคิดจะเปลี่ยนรถใหม่สักคัน ควรเลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง เพราะจะช่วยเสริมดวงในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องการเงิน การงาน สุขภาพ และความรักได้ ไม่ว่าจะเป็น สีรถตามวันเกิด หรือ สีรถตามปีเกิด และยังช่วยเสริมพลังให้กับผู้ขับขี่อีกด้วย 

    รู้อย่างนี้แล้วต้องบอกว่าไม่ยากอย่างที่คิดใช่ไหมครับ เพราะการดูแลและจัดระเบียบรถให้ถูกตามหลักฮวงจุ้ย คุณเองก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และบางอย่างก็ช่วยให้การขับขี่ของเราห่างไกลจากอุบัติเหตุได้อีกด้วยนั่นเอง

    แหล่งที่มา: เว็บไซต์ car.kapook.com

    check-credit